top of page

รวมบทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์ 2021 ชุดที่ 2

บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2021


'ของประทานที่ดีและเลิศทุกอย่างนั้นมาจากเบื้องบน คือมาจากพระผู้สร้าง แห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระองค์ไม่มีการแปรปรวนหรือเงาของการเปลี่ยนแปลง '

ยากอบ 1:17

ถ้าให้นึกถึงของขวัญที่แพงที่สุด ที่เคยซื้อให้ใครคนหนึ่ง เราคงจำได้ดี เพราะว่าเป็นการสูญเสียเงินทองของเราเอง หรือของมีค่าที่เราหวงแหน เพื่อจะแลกกับของขวัญชิ้นสำคัญให้คนที่เรารัก ของมีค่าที่สุด ที่คุณเคยให้ใครคนหนึ่ง คืออะไร? คนคนนั้นคงจะเป็นคนที่สำคัญมากในสายตาของคุณ

แล้วของขวัญที่แพงที่สุดที่ใครเคยให้กับคุณ สิ่งของสิ่งนั้นคืออะไร? คนคนนั้นคงจะรักคุณมาก ที่ได้มอบของที่มีค่าเช่นนั้นให้กับคุณ และมากยิ่งกว่านั้นอีก ของขวัญที่มีค่าที่สุดของมนุษย์ทุกคน คือสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาได้มอบไว้ให้กับเรา คือองค์พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า 'พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ ' ยอห์น 3:16 ไม่มีของขวัญไหนจะมีค่าเท่ากับการมอบชีวิตของลูกที่รัก เป็นของขวัญให้กับเรา 'ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา’ อิสยาห์ 9:6

แต่ที่สำคัญกว่านั้นอีก พระคำยากอบ 1:17 ยืนยันว่าความดีของพระเจ้า ความสัตย์ซื่อของพระองค์ ไม่ได้จบอยู่ที่พระเยซูคริสต์ แต่ความดีของพระองค์เป็นจริงเสมอในชีวิตของเรา เมื่อวานนี้ วันนี้ แล้วเธอไปเป็นนิจ “ในพระองค์ไม่มีการแปรปรวนหรือเงาของการเปลี่ยนแปลง” เมื่อพระองค์มอบของขวัญที่ดีที่สุดให้กับเราเมื่อ 2000 กว่าปีที่แล้ว เราจึงมั่นใจได้ว่า พระองค์รักเรา และเห็นเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระองค์ แล้วเราสามารถมั่นใจว่าพระองค์…ผู้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ใจยังคงรักเรา มอบสิ่งดีๆให้กับเรา เสมอมาและเสมอไป

ใน Christmas ปีนี้ เราควรระลึกถึงความรักอันมั่นคงของพระบิดาที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ และของขวัญที่ดีที่สุดที่พร้อมมอบให้กับเรา ในทางกลับกัน เราเองควรจะมอบของขวัญที่ดีที่สุดคืนแก่พระองค์ และเมื่อเราให้กับพระองค์แล้ว ชีวิตของเราเองก็จะกลายเป็นของขวัญให้กับคนอีกมากมาย ขอความดี ความสัตย์ซื่อ ของพระองค์ที่มีอยู่ในตัวเรา ทำให้คนอื่นเห็นความหมายที่แท้จริงของวันคริสต์มาส

อาจารย์ วาระ มีชูธน

คำถาม 1. อะไรเป็นเหตุผลที่แท้จริงในการที่เราให้ของขวัญกับคนๆหนึ่ง ?

2. ถ้าใน Christmas ปีนี้ เราจะให้ของขวัญกับพระเจ้า, เราจะมอบอะไรให้กับพระองค์? ทำไม?

3. ความดีของพระเจ้า มั่นคง แน่นอน ขนาดไหนในชีวิตของเรา? มีบทพิสูจน์อะไรเป็นการยืนยัน?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน 2021


'นี่คือพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าของเราเป็นนิตย์นิรันดร์ พระองค์จะทรงนำเราจนถึงที่สุด'

สดุดี 48:14


ไม่ว่าจะเป็นแชมป์กี่สมัย ย่อมจะมีสมัยสุดท้าย ไม่ว่าจะมีรัฐบาลกี่สมัย ก็ย่อมจะมีสมัยสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นยุครุ่งเรืองของโรม หรือยุครุ่งเรืองของ ทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็ย่อมจะมีวันจบลง ไมค์ไทสัน นักชกผู้ยิ่งใหญ่ ที่ล้มคู่อริยกแรกแทบทุกคน ก็ย่อมมีวันถูกล้ม เพราะทุกอย่างที่เราแน่ใจว่าจะอยู่ยั่งยืน ย่อมมีวันเปลี่ยนแปลง “แล้วข้าพเจ้าหันมาดูทุกสิ่งที่มือข้าพเจ้าทำ และผลของการตรากตรำที่ข้าพเจ้าทำลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย และดูเถิด ทุกอย่างก็อนิจจังคือ กินลมกินแล้ง และไม่มีประโยชน์อะไรภายใต้ดวงอาทิตย์” ปัญญาจารย์ 2:11 ความจริงที่เราคุ้นเคยนี้ กลับเป็นความจริงที่เราละเลยด้วย เพราะเราลืมไปว่า มีบางอย่างที่ไม่อนิจจัง และมีบางอย่างที่ยั่งยืนไม่เปลี่ยนแปลง


“นี่คือพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าของเราเป็นนิตย์นิรันดร์” พระเจ้าของเรา ผู้เป็นเจ้าของ ผู้เป็นเจ้านาย ผู้เป็นบิดาที่รักเรา พระองค์เป็นของเรา….ตลอดไป “นิตย์นิรันดร์” ความรักของพระองค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวันเวลา ความดีความชอบ หรือแม้กระทั่งการตัดสินใจของเรา พระองค์รักเราด้วยความรักนิรันดร์ “พระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่เขาจากที่ไกล ตรัสว่า เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์…” เยเรมีย์ 31:3 พระองค์สถิตอยู่กับเรา...ตลอดไป “เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป…” มัทธิว 28:20 คำเหล่านี้จึงกลายเป็นคำที่เราไม่คุ้นเคย เพราะต้องเข้าใจคำว่า “นิรันดร์” ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันจบลง มันคงเสมอไป ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา


“พระองค์จะทรงนำเราจนถึงที่สุด” สดุดี 48:14 เราจึงมั่นใจได้ว่า พระเจ้าจะทรงนำเราไป ทรงเป็นผู้บุกเบิกทาง ส่งเป็นผู้ชำนาญทาง ในการตัดสินใจเล็กๆน้อยๆของชีวิต หรือในการเลือกทางที่ยิ่งใหญ่ พระองค์สัญญาว่า พระองค์จะไม่ใช่แค่สถิตอยู่ด้วย แต่จะทรงนำไปข้างหน้า และนำไปจนถึงท้ายสุดของชีวิตบนโลกนี้ Even to the end พระเจ้าผู้ทรงนำ โมเสสออกจากอียิปต์ ยังคงนำโยชูวาเข้าแผ่นดินแห่งพันธสัญญา ส่งนำการเที่ยวในกรุงบาบิโลน ผมนำพระเยซูไปถึงกางเขน และนำคริสตจักรของพระองค์จนถึงทุกวันนี้ พระองค์จะทรงนำเราในชีวิตประจำวันของเราด้วย


แต่วันนี้คุณกลัวอะไร ในวันนี้คุณไม่แน่ใจเรื่องอะไร มีการตัดสินใจอันใดที่จะมีผลกระทบต่อชีวิตและครอบครัวของคุณ พระองค์สัญญาว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พระองค์ก็ยังทรงรักเรา และอยากจะนำชีวิตของเราไป ในความเจ็บป่วย ในหนี้สิน ในความทุกข์ และความเจ็บปวดของชีวิต พระองค์จะทรงสถิตอยู่ด้วย และนำเราในทางที่เป็นแผนงานของพระองค์ ขอที่เราจะวางใจ เชื่อฟัง และเดินตามพระองค์ … ตลอดไปเช่นกัน


อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. คำว่านิรันดร์กาล ใช้กับอะไรได้บ้างนอกจากพระเจ้า?

2. เรารับรู้การทรงนำของพระองค์ในชีวิตของเราอย่างไร? บ้างไหม?

3. มีอะไรในชีวิตของเรา ที่ยังไม่เชื่อฟังการทรงนำของพระองค์?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2021


'“เราเกลียด เราชังบรรดาวันเทศกาลเลี้ยงของเจ้า และเราไม่ชอบการประชุมตามพิธีของเจ้าเลย แม้ว่าเจ้าถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและธัญบูชาแก่เรา เราก็จะไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น และเราจะไม่มองดู ศานติบูชาที่เป็นสัตว์อ้วนพีของเจ้านั้น จงนำเสียงเพลงของเจ้าไปจากเรา เราจะไม่ฟังเสียงพิณใหญ่ของเจ้า แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลลงอย่างน้ำ และให้ความชอบธรรมเป็นอย่างลำธารที่ไหลอยู่เป็นนิตย์ ' อาโมส 5:21-24

ตอนเด็กๆ ลูก 2 คนของผม ก็ตื่นแต่เช้าและมาทำอาหารเช้าให้ แต่ขณะที่ทำ ก็เกิดมีปากเสียงและทะเลาะกัน จนมีคนหนึ่งร้องไห้ และมีการโกรธกันขึ้น เมื่ออาหารเช้าเสร็จ ก็มาปลุกให้ผมได้ไปทาน แต่ผมทานไม่ลงเพราะได้ยินเสียงร้องไห้ และความบาดหมางที่เกิดจากการทำอาหารเช้าให้กับผม และไม่ว่าอาหารเช้าจะอร่อย ดูดี และมาจากจิตใจที่ดีของลูกทั้งสอง แต่มันไม่มีค่าเลย เมื่ออาหารเช้าเป็นต้นเหตุทำให้ลูกสองคนไม่รักกัน

พระเจ้าได้ตรัสกับผู้เผยพระวจนะอาโมส ในเรื่องการกลับใจของชนชาติอิสราเอลว่า คนของพระเจ้าจะไม่สามารถนมัสการ ถวายเครื่องบูชา ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ทั้งๆที่ยังมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ และไม่มีความชอบธรรมต่อคนรอบตัว พระองค์จึง ตรัสอย่างตรงไปตรงมา ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของพระองค์ “เราเกลียด เราชัง...” นี่เป็นความรู้สึกรุนแรงที่มาจากพระบิดาเจ้าต่อการกระทำหน้าไหว้หลังหลอกของเรา คือเมื่อเราไหว้พระองค์ แต่เราด่าเพื่อนบ้าน หรือเมื่อเราถวายแด่พระองค์ แต่เอาเปรียบเพื่อนบ้าน พระองค์บอกว่า “เราไม่ชอบ” “เราก็จะไม่ยอมรับ” “ เราจะไม่ฟัง” ในสิ่งที่เราเอามาถวายแด่พระองค์ และไม่ว่ามันจะดีขนาดไหน เยอะขนาดไหน สวยขนาดไหน เพราะขนาดไหน พระองค์จะไม่สนใจมันเลยหากเรายังดำรงชีวิตด้วยความอยุติธรรม ไม่สนใจพระคำของพระองค์ หรือใช้ชีวิตเอาเปรียบคนอื่นๆรอบข้าง

เวลาคนอยากจะขอบคุณ หรือให้กำลังใจผม สิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่ทำดีกับตัวของผม แต่ก็ทำดีกับคนที่ผมรัก การแสดงออกที่ผมซาบซึ้งที่สุด คือการที่คนอื่นรักผมจนเขาทำดีกับคนที่ผมรัก ดูแลลูกของผม หนุนใจภรรยา สิ่งเหล่านี้มีค่ายิ่งกว่าทำกับตัวผมเอง พระเจ้าพระบิดาก็เช่นกัน '“บัญญัติของเราคือให้พวกท่านรักกันและกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน ' ยอห์น 15:12 พระองค์ไม่ได้ต้องการความรักจากเรา มากเท่ากับที่พระองค์อยากเห็นลูกๆของพระองค์รักกันและกัน ให้เกียรติกันและกัน 'แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย’ ' มัทธิว 25:40 'เพราะฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา และกลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน ' มัทธิว 5:23-24

ขอในอาทิตย์ที่จะถึงนี้ การนมัสการในโบสถ์จะมีคุณค่าอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อเราเชื่อฟังพระองค์นอกโบสถ์ด้วย อย่าให้เราเพียงยกมือนมัสการ แต่ปล่อยมือจากคนที่ต้องการความช่วยเหลือ อยากให้เราถวายทรัพย์กับพระเจ้า แต่ห่วงทรัพย์สมบัติของเราจากผู้ขัดสน และอย่าให้ปากของเราท่องข้อพระคัมภีร์ แต่กล่าวหาคนอื่น ขอที่ชีวิตของเราจะดำรงอยู่ด้วยความยุติธรรม และมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความชอบธรรม อย่างที่พระเยซูเป็น

อาจารย์ วาระ มีชูธน

คำถาม

คำว่าคริสเตียนที่ดี ดูได้จากอะไร? ทำไมถึงใช้สิ่งนั้นเป็นตัววัด? สิ่งที่ทำนอกโบสถ์จันทร์ถึงเสาร์ มีผลกระทบอย่างไรในการนมัสการวันอาทิตย์ พระเจ้าให้คุณค่ากับสิ่งไหน การกระทำไหน ในชีวิตของเรา? ทำไมพระองค์ถึงให้น้ำหนักกับสิ่งนั้น?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2021

'และในวันนั้น พวกท่านจะกล่าวว่า “จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ จงร้องทูลออกพระนามของพระองค์ จงประกาศบรรดาพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย จงให้พวกเขารำลึกว่าพระนามของพระองค์เป็นที่เชิดชู “จงร้องเพลงสรรเสริญพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงทำกิจอันดีเลิศ จงให้เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในแผ่นดินโลก '

อิสยาห์ 12:4-5


ในชีวิตของเรามีเรื่องราวที่เราสามารถเล่าได้ อาจจะเป็นเรื่องที่เวอร์ ประสบการณ์แปลก วันที่คนรัก หรือความอัศจรรย์ที่บังเอิญเกิดขึ้น เวลาที่เจอกับคนอื่น ตัวผมเองก็อาจจะมีเรื่องราวไม่อยากจะเชื่อว่าเกิดขึ้นกับชีวิต เช่น วันที่นักธุรกิจพันล้านที่เจอบนเครื่องบิน เชิญเราไปเยี่ยมที่บ้านและให้เราขับเครื่องบินส่วนตัวของเขา หรือว่าจะเป็น ชีวิตที่ได้รับพระคุณ จากคุณป้า Luce ที่ให้ทุนการศึกษาเราถึง 15 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวอะไร อย่าลืมที่จะเล่าถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทำผ่านเรื่องราวเหล่านั้นในชีวิตของเรา


“จงประกาศบรรดาพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย” ชีวิตของเรา เป็นผลพลอยได้จากพระคุณของพระองค์ ทุกงานที่เราทำ ทุกบาทที่เราใช้ ทุกลมหายใจที่เราสูด เป็นมาจากการทรงสร้าง แผนการของพระองค์ และพระคุณของพระองค์บนไม้กางเขน เราจึงควรจะเล่าเรื่องราวของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงทำ พระคุณที่เราได้รับในยามยากลำบาก และพระหัตถ์ของพระองค์ที่ปกป้อง เราจะเล่าเพื่อคนอื่นจะได้ยิน และเพื่อตัวเราจะไม่ลืม นี่เป็นคำสั่งของพระองค์ และนี่จึงกลายเป็นหน้าที่ของเรา เหมือนลูกที่ภูมิใจในตัวพ่อ จะเล่าให้เพื่อนของเขาฟังภาพพ่อของเขายิ่งใหญ่แค่ไหน ลูกๆของพระองค์ก็ควรจะเล่าเรื่องราว และความยิ่งใหญ่ของพระบิดาของเราเช่นนั้น


“จงให้พวกเขารำลึกว่าพระนามของพระองค์เป็นที่เชิดชู” เราทำหน้าที่ของการเล่า พระเจ้าจะทำหน้าที่ของการทำให้ระลึก เพื่อนของเราอาจจะลืมไปว่า มีพระเจ้าพระผู้สร้าง มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าปัญหาในชีวิตของเขา เขาอาจจะไม่รู้ เขาอาจจะลืมคิด แต่พระองค์จะทรงทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่เชิดชู 'ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ' มัทธิว 5:16 เมื่อความดีของพระเจ้า ฉายส่องผ่านชีวิตของเรา ด้วยทั้งวาจา และการกระทำ คนอื่นๆจะสามารถระลึก ถึงความดีของพระเจ้าได้

“จงร้องเพลงสรรเสริญพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงทำกิจอันดีเลิศ จงให้เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในแผ่นดินโลก ' อย่าได้อาย ประชุมประกาศให้ทั่วโลก คนทุกคน ที่เดินผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา อย่างน้อยต้องได้ยินสิ่งที่พระเจ้าทำ ชีวิตที่พระเจ้าให้ ของขวัญแห่งความรอดที่พระองค์ยอมจ่ายมาด้วยราคาแสนแพง เราอย่า “หยุด” ที่จะภูมิใจ อย่า “หุบ”ปากของเราถึงความดีของพระองค์ และอย่า “เงียบ” เพียงเพราะความอาย แต่ให้เราร้อง เป็นบทเพลงแห่งชีวิตของเราตลอดไป


อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1.อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เรา กล้า / ไม่กล้า เล่าเรื่องของพระเจ้าในชีวิตของเราให้คนอื่นฟัง ?

2.เขามีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระองค์จริงๆหรือเปล่า ? หรือชีวิตของเราเรียบง่าย จนไม่มีเรื่องเล่าเลย?

3.ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ขอเขียนชื่อคน 3 คน ให้คุณจงใจจะเล่าเรื่องราวของพระเจ้าให้เขาฟัง

1.______________

2.______________

3.______________


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม 2021

เท้าของผู้นำข่าวซึ่งอยู่บนภูเขานั้นช่างงดงามจริง คือผู้นำข่าวที่ประกาศสันติภาพ และผู้ที่นำข่าวอันน่ายินดี ทั้งเท้าของผู้ประกาศความรอด และผู้กล่าวกับศิโยนว่า “พระเจ้าของท่านทรงครอบครอง”

อิสยาห์ 52:7


ในช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตเรา เปิดทีวี หรือ มือถือขึ้นมาทีไร ก็รับรู้แต่ข่าวร้าย เขียนเพื่อสร้างดราม่า เสนอข่าวข้างเดียว หดหู่ และหากเสพเยอะ ก็จะทำให้เราหมดหวัง ท้อแท้ หมดพลัง ยิ่งในช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้ ข่าวดียิ่งหายาก


ในช่วงเวลาที่คนอิสราเอลถูกกวาดตอนไปอยู่บาบิโลน ทุกวันก็จะเจอกับแรงกดดัน การเปลี่ยนแปลง และแน่นอน วิธีเดียวที่จะได้รับข่าวจาก บ้านเกิดเมือง คือรอให้ผู้ส่งข่าววิ่งกลับมารายงาน ว่าบ้านเมืองแตก หัก ถูกเผา แตกกระสานซ่านเซ็น กำแพงเมืองพังทลาย พระวิหารถูกปล้น แต่วันหนึ่ง มีคนวิ่งนำข่าวดีมาว่า.... พระเจ้าจะหยุดความทุกข์ พระองค์จะปลดปล่อยเรา พระองค์จะครอบครอง และจะนำเรากลับคืนสู่สภาพดี


น่าตื่นเต้นเมื่อเราเห็นผู้นำข่าวดีมาหาเรา เราก็มีความหวังใจ มีกำลังใจ และเฝ้ารอคอย ในทางเดียวกันพระเจ้าที่นำข่าวดีมาให้กับคนทั้งหลาย กำลังเรียกเราทุกคนให้ออกไป ขึ้นเขา ลงห้วย และใช่เราไปประกาศความรอด ข่าวประเสริฐ ให้กับคนรอบข้าง และเมื่อนั้น เท้าของเราจะเริ่มสวย ไม่ใช่โดยเนื้อหนัง แต่โดยการกระทำของเรา การเชื่อฟัง


ขอให้เราสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า "และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า"

เอเฟซัส 6:15 ขอให้เราใช่เวลา ความสามารถ หรือ ตารางในชีวิตที่มีเหลืออยู่ ให้เป็นชีวิตที่นำข่าวดีไปในทุกที่ๆเราไป และนำความรอดมาสู่ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเรา


อ.วาระ มีชูธน


คำถาม

1. ฟังข่าวดี เหมือนหรือต่างจาก เป็นข่าวดี?

2. ทำไมเราจึงไม่กล้าประกาศกับคนอื่น ?

3. มีใครในชีวิตของคุณ ที่คุณจะประกาศข่าวดีของพระองค์ให้กับเขา


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2021

เวลาดูหนังสืบสวน หลายครั้งถามตัวเองว่า ทำไมตัวละครเอกถึงกล้าเดินเข้าไปในความมืด เมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ ทำไมคนถึงชอบออกมาดูประตูหน้าบ้านเมื่อมีเสียง “ก๊อกก๊อก แก๊กแก๊ก” ตอนกลางคืน ใช่เพราะความสงสัยหรือเปล่า? ไม่รู้หรือว่าคนร้ายชอบอยู่ในความมืด? ทำไมยังกล้าเดินไป? ไม่กลัวหรือเปล่า? แต่ในพระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นคำตอบคือ 'ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวกับผู้หญิงเหล่านั้นว่า “อย่ากลัวเลย เรารู้แล้วว่าพวกท่านมาหาพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขน พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์ตรัสไว้นั้น จงมาดูที่ซึ่งเขาวางพระองค์ไว้นั้น แล้วจงรีบไปบอกสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น นี่แน่ะเราบอกพวกท่านแล้ว” ' มัทธิว 28:5-7


คำว่าพิสูจน์ ในพจนานุกรมภาษาไทยราชบัณฑิตยสถาน: บ่ง ชี้แจงให้รู้ความจริง ทดลองให้เห็นความจริง เราจะสังเกตเห็นได้หลายครั้งว่า พระเจ้าอยากจะให้เรา พิสูจน์ ความจริงที่พระองค์เคยพูด พิสูจน์ความเชื่อของเรา และพิสูจน์ตัวตนของพระเจ้า ทูตสวรรค์ไม่จำเป็นจะต้องให้เขาเข้าไปดูในอุโมงค์ แต่เพื่อเราจะมีประสบการณ์ เห็นจริง เข้าใจจริง คำเชิญชวนให้เข้ามาดู จึงเป็นคำเชิญชวนที่ยืนยันความจริงของพระเยซู ในพระคำ มัทธิว 14:28-29 'เปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว ขอตรัสให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือเดินบนน้ำไปหาพระเยซู ' พระเยซูอนุญาต ให้เปโตรได้พิสูจน์ตัวตนของพระองค์ และในยอห์น 20:27 พระเยซูก็อนุญาตให้สาวกของพระองค์ พิสูจน์การฟื้นคืนพระชนม์โดยใช้นิ้วแปะไปในรอยตะปู คำเชิญชวนของพระองค์ที่มีต่อสาวก จึงเป็นการเชิญชวนที่สำคัญในชีวิตของเราเช่นกัน พระคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่เราอ่านนั้น จะลึกซึ้ง และเป็นจริงยิ่งกว่าเมื่อเรารับคำเชิญชวน ให้เดินเข้าไปในความมืด เมื่อได้ยินเสียงเรียกของพระองค์ ให้เดินเข้าไปในความเสี่ยง ทั้งๆที่เรายังกลัว เพื่อเราจะทดสอบ และค้นหาความจริงที่เราเชื่อว่าเราเชื่อ แต่ยังไม่ได้ใช้ที่เราเชื่อ


'เชิญชิมดูแล้วจะเห็นว่า พระยาห์เวห์ประเสริฐ คนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ก็เป็นสุข ' สดุดี 34:8 ขอบพระคัมภีร์นี้ ท่องจำให้ขึ้นใจก็ดีมาก แต่เมื่อเรารับคำเชิญชวน เราจะได้เห็น และมีประสบการณ์กับตัวเอง ว่าความดีของพระเจ้า ดีจริงๆ เพราะฉะนั้น เราจำเป็นจะต้อง “ก้าวออกจากเรือ” เพื่อเห็นความรอด ก้าวออกจาก ตารางประจำวัน นิสัยประจำตัว เพื่อจะค้นพบความยิ่งใหญ่ ความอัศจรรย์ และความจริงที่พระองค์สัญญากับเรา


อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. ถ้าเราไม่ยอมเสี่ยง เราจะรู้ได้ยังไง ว่าพระเจ้าสัตย์ซื่อ และพระคุณของพระองค์ มีอยู่จริงในชีวิต?

2. ในแต่ละวันของชีวิตของเรา เรากล้ารับคำเชิญชวน หรือเราเกรงกลัวและปฏิเสธ การพิสูจน์ความเชื่อ?

3. ทำอย่างไร ที่เราจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มีประสบการณ์ตรง กับพระวจนะคำของพระเจ้า?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม 2021

"...อย่าโศกเศร้าเลย เพราะความชื่นบานของตนในพระยาห์เวห์เป็นกำลังของท่าน”

เนหะมีย์ 8:10


วันที่เศร้าที่สุดในชีวิตวันหนึ่ง คือวันที่แฟนเดินทางกลับไทย ต้องอยู่คนเดียวที่อเมริกา เมืองร้างเพราะปิดเทอมช่วงหน้าร้อน งานไม่มีให้ทำ เงินก็ไม่มี อาหารก็หมด ร้านปิดหมด ไปไหนก็ไม่ได้ ความเงียบเหงา ความหมดหวัง ท้อใจที่ต้องอยู่แบบนี้ไปอีก 3 เดือน มันค่อนข้างหนักและทำให้เข้าสู่ภาวะซึมเศร้า ไม่มีอะไรเลยเหรอที่จะนำความสุข ความหวัง ความเข้มแข็งกลับคืนสู่ชีวิต ตื่นขึ้นมา ดื่มน้ำเยอะๆ นั่งในห้องสี่เหลี่ยมจนถึงเย็นแล้วก็นอน วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งวันหนึ่งเปิดพระคำภีร์แล้วอ่านเจอ "...อย่าโศกเศร้าเลย เพราะความชื่นบานของตนในพระยาห์เวห์เป็นกำลังของท่าน” เนหะมีย์ 8:10 พระเจ้าจะนำความชื่นชมยินดีมาสู่ใจที่แห้งเหี่ยว ท้องที่แห้งเหือด ได้อย่างไร? เราจะมีกำลังขึ้นมาเหรอ? เราจะออกจากความเศร้านี้เหรอ? ไม่ใช่เลย ในความเป็นจริงคือ เราลืมไปว่าพระองค์อยู่ใกล้ๆเราและอยู่ในเรา เราลืมไปว่าเมื่อเรามองไม่เห็นคนอื่นๆ เลย ยังมีพระเจ้าที่ไม่เคยห่าง คอยเฝ้าเรา คอยฟังเรา ดูแลเรา "อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะเสริมกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา" อิสยาห์ 41:10 พระสัญญาข้อนี้ เข้ามาในโสตประสาทและเป็นความหนักแน่นที่เตือนสติของเราในเวลาที่เราเศร้าที่สุด สถานการณ์มันไม่มีอะไรเปลี่ยน ร้านยังปิด เงินยังหมด เพื่อนยังไม่กลับ แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ เรามีเหตผลใหม่ที่จะมีความชื่นชมยินดี เหมือนคนที่เดินหลงทางแต่ได้เจอคนรู้จัก ถึงแม้ว่ายังหลงอยู่แต่มีความดีใจ โล่งใจ อบอุ่นใจ โดยเฉพาะเจอเพื่อนที่รู้จักทางอย่างดี ความชื่นชมยินดีของเราไม่ใช่ในเงิน เพื่อน อาหาร หรือความปลอดภัย แต่ความชื่นชมยินดีของเราคือมีอยู่ใน พระองค์ ในตัวของพระองค์ ในความรอดที่มีในพระองค์ ความหวังใจ กำลังใจอยู่ในตัวตนของพระองค์


ถ้าหากเรากำลังหมดแรง หมดกำลังใจ หมดหวัง หรือแม้กระทั้งไม่รู้ว่าจะผ่านเรื่องราวในช่วงนี้ไปได้อย่างไร ขอให้เราค้นหาพระองค์ เสาะหาพระองค์ พูดคุยกับพระองค์ ฟังเสียง และเฝ้ารอคอยพระองค์ในความสงบ แล้วอีกไม่นาน เราจะได้ค้นพบสาเหตของความชื่นชมยินดีของชีวิตเรา... คือ พระองค์


อ.วาระ มีชูธน


คำถาม

1. มีอะไรในชีวิตเราที่ดูดความชื่นชมยินดีของเราให้แห้งเหือด

2. มีอะไรที่เราชอบเอามาทดแทนสันติสุขที่เราควรจะมีในพระองค์

3. พระเจ้าคืนสันติสุขในชีวิตของเราอย่างไร


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2021

จงทำทุกสิ่งโดยปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่มีที่ติและไร้ความผิด เป็นบุตรของพระเจ้าที่ปราศจากตำหนิท่ามกลางชนชาติที่คดโกงและวิปลาส ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆ ในโลก

ฟีลิปปี 2:14‭-‬15


สิ่งหนึ่งที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่สุดสิ่งหนึ่ง ก็คือการบ่น เราบ่นได้ทุกเรื่องเมื่อเกิดความไม่พอใจ ผิดหวัง เบื่อ เซ็ง เครียด รถติด เจอกลิ่นแปลกๆ สิ่งที่เราทำบ่อย และเป็นโรคติดตัวของเราทุกคนโรคหนึ่งก็คือการบ่น ตื่นเช้าก็บ่นว่าเหนื่อย ขับรถไปทำงานก็บ่นว่าติด ทำงานก็บ่นเรื่องเจ้านาย ทานข้าวก็บ่นแม่ค้า กลับบ้านก็บ่นเรื่องบ้านไม่เป็นระเบียบ บ่นลูก บ่นแม่ย้าย บ่นสุนัข จนถึงดินฟ้าอากาศ จนมีคนเคยบ่นว่า... "ถ้าไม่บ่นสัก 2 นาทีจะตายมั้ย"


พระคำของพระเจ้ารู้ถึงสิ่งนี้และอยากให้เรามีชีวิตที่สวนกระแส สวนธรรมชาติ และแตกต่างจากคนทั่วไป พระคำกำลังบอกว่าเราสามารถใช้ชีวิตโดยการไม่บ่นได้ เราสามารถหลุดออกจากธรรมชาติของการทุ่มเทียง เอาชนะ หรือความหยิ่งได้ หากเราให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงเรา ยับยั้งเรา สร้างธรรมชาติใหม่ในตัวเรา ให้เราหวังเมื่อผิดหวัง ให้เราขอบคุณเมื่อเห็นปัญหา และมีความเชื่อเมื่อมองไม่เห็นคำตอบ หากเราทำได้อย่างที่พระเยซูทำ ก็จะทำให้ชีวิตของเราดุจดวงสว่างต่างๆ ในโลกที่สกปรก และวิปลาส ทำให้คนเห็นชัดเจนถึงชีวิตที่แตกต่าง ความรักที่อดทนนาน การอภัยอย่างไม่มีขอบเขต การขอบพระคุณในทุกกรณี และความหวังในความมืด ชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่คนทั่วไปไม่เคยเห็นแต่แสวงหา ไม่เคยเจอแตะอยากสัมผัส องค์พระเยซูเองก็ขอบพระคุณพระเจ้าทั้งๆที่ยืนอยู่หน้าหลุมศพ ลาซารัส ชีวิตของพระองค์ไม่เคยปริปากบ่นแม้จะถูก สปประมาท ดูถูก ปรักปรัม หรือแม้กระทั้งทำร้าย พระองค์เองเอาความหวังใจของพระองค์วางอยู่ที่ความสัตย์ซื่อของพระบิดา


ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ คำอธิษฐานของเราคือ ให้พระเจ้าประทานสติ กำลัง และการระมัดระวังในการบ่น ในการทะเลาะ เถียง และให้เราเรียนรู้ที่จะขอบพระคุณ สรรเสริญ และ ร้องเพลงได้เมื่อคนอื่นร้องไห้ ที่เราจะมีชีวิตที่สวนกระแส จนทำให้คนอื่นสงสัย


คำถาม

1. การบ่นบ่งบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเรา ความคิด ความเชื่อ ของเรา

2. พระเจ้าจะได้รับเกียรติอย่างไรจากการเลิกบ่น เลิกทะเลาะได้อย่างไร

3. เราจะทดแทนการบ่น ด้วยการขอบพระคุณได้มั้ย ทำอย่างไร


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม 2021

'น้ำก็ท่วมมิดตัวข้าพระองค์ ที่ลึกก็อยู่รอบตัวข้าพระองค์ สาหร่ายทะเลก็พันศีรษะข้าพระองค์อยู่ ที่รากแห่งภูเขาทั้งหลาย ข้าพระองค์ลงไปยังแผ่นดิน ซึ่งกลอนประตูปิดกั้นข้าพระองค์ไว้เป็นนิตย์ แต่กระนั้นก็ดี ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ยังทรงนำชีวิตของข้าพระองค์ขึ้นมาจากหลุมมรณะ '


โยนาห์ 2:5-6


บางวันในชีวิตของเรา ก็ดูเหมือนจะเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดวันหนึ่ง เมื่อไม่มีอะไรเป็นไปตามใจ หรือความคาดหวังของเราเลย โกนหนวดมีดบาด กาแฟหก มีรถขับตัดหน้า รถติดไปที่ทำงานสาย เจ้านายบ่น งานเยอะท่วมหัว ประชุมไม่หยุด ต้องหอบงานมาทำที่บ้าน คนในครอบครัวก็เสียงดัง เครียด หงุดหงิด อยากตะโกนออกมาดังๆ “ไม่ไหวแล้ว” ถ้าหากคุณเคยมีวันอย่างนี้คุณคงเข้าใจคำอธิษฐานของโยนาห์เป็นอย่างดี


คำอธิษฐานของผู้ชายคนหนึ่ง ที่อยู่ในสถานการณ์ มืดแปดด้าน ' “น้ำก็ท่วมมิดตัวข้าพระองค์ ที่ลึกก็อยู่รอบตัวข้าพระองค์ สาหร่ายทะเลก็พันศีรษะ” แค่ 3 ประโยคแรก ก็เห็นภาพแล้วว่า สถานการณ์นั้นเกินบรรยาย เหมือนในชีวิตของเราที่บางครั้งความกดดันนั้นก็ท่วมมิด หนี้สินก็ท่วมมิด ศัตรูก็อยู่รอบ อีกทั้งความรับผิดชอบที่พันศีรษะ ในเวลากลางคืนที่ล้มตัวนอน ก็ยังนอนไม่หลับเพราะสิ่งที่พันศีรษะของเราอยู่ “ที่รากแห่งภูเขาทั้งหลาย ข้าพระองค์ลงไปยังแผ่นดิน ซึ่งกลอนประตูปิดกั้นข้าพระองค์ไว้เป็นนิตย์” บางทีก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้านาย เพื่อนบ้าน คนในครอบครัว หรือตัวแปรภายนอกใดๆ แต่เป็นตัวของเราเองที่ดันทำ ผิดพลาด รูดเยอะไป ปฏิเสธไม่เป็น ปากไวไปหน่อย ไม่ยอมขอโทษ ดื้อ หรือไม่เชื่อฟังพระเจ้าก็ตาม บางทีเราค้นพบว่าตัวของเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับโยนาห์ ที่เราไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ดี จึงต้องนั่งรอคอย การช่วยกู้จากพระเจ้า


แต่กระนั้นก็ดี ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ยังทรงนำชีวิตของข้าพระองค์ขึ้นมาจากหลุมมรณะ ' ในคำอธิษฐานของโยนาห์ ในความมืด ในความหมดหวัง เขายังระลึกถึงสิ่งที่พระเจ้าเคยทำในชีวิตของเขา เขาย้อนอดีตกลับไป เมื่อพระเจ้าเคยปลดปล่อย ช่วยกู้ ชีวิตของเขาจากความมืดแบบนี้ เขาจึงกล้าอธิษฐานต่อพระเจ้า ทั้งๆที่ตัวเขาเองผิดพลาดเอง เขายังมั่นใจในความดีของพระเจ้าในชีวิต ทั้งในอดีต ในสถานการณ์ปัจจุบัน และในอนาคต


'เมื่อชีวิตของข้าพระองค์กำลังจะหลุดลอย ข้าพระองค์ระลึกถึงพระยาห์เวห์ และคำอธิษฐานของข้าพระองค์มาถึงพระองค์ เข้าสู่พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์ ' โยนาห์ 2:7


การที่เราระลึกถึงสิ่งที่พระเจ้าเคยทำในชีวิต ความอัศจรรย์ คำอธิษฐานที่พระองค์ตอบ ทำให้เกิดความหวัง มีกำลังใจ และมองถึงหนทางออก ที่เราเองทำไม่ได้ 'ข้าพเจ้าหวนคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความหวัง ความรักมั่นคงของพระยาห์เวห์ไม่เคยหยุดยั้ง และพระกรุณาของพระองค์ไม่มีสิ้นสุด เป็นของใหม่ทุกเวลาเช้า ความเที่ยงตรงของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก ' เพลงคร่ำครวญ 3:21-23


ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ให้เราจดจำ จดบันทึก ใส่ไปในกระดาษ ใส่ไปในคอมพิวเตอร์ ใส่ไปในใจ และใส่ไปในหัวสมองของเรา ว่า… พระเจ้าไม่เคยไกล เกินคำอธิษฐานของเรา และพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่เคยสั้นไปกว่าสถานการณ์ที่เราเจอ หูของพระองค์ไม่เคยหนวก และความรักของพระองค์ไม่มีที่สิ้นสุด


อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. อะไรคือน้ำทะเลของเราตอนนี้ที่กำลังท่วมชีวิตของเราอยู่ อะไรคือที่ลึกที่รอบล้อมตัวเราอยู่ อะไรคือสาหร่ายที่พันศีรษะของเรา? เรารับมือกับของเรานี้ยังไง

2. เรามีระบบในการแก้ปัญหาในชีวิตของเราอย่างไร? เราวิ่งหาคำตอบ ตัวเลือกไหนเป็นตัวแรก? ตัวเลือกไหนเป็นตัวสุดท้าย? ทำไมเป็นเช่นนั้น?

3. ความดีของพระเจ้าในอดีต ควรจะมีผลในคำอธิษฐานของเราอย่างไร ? มีผลต่อความหวังใจของเราอย่างไร ?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน 2021

'ท่านเหล่านั้นขอแต่เพียงให้เรานึกถึงคนจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าทำอย่างกระตือรือร้นอยู่แล้ว '

กาลาเทีย 2:10

เมื่อตอนที่เราโตขึ้นมาในครอบครัวมีชูธน คุณพ่อและคุณแม่ ทำงานรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา ครอบครัวของเราอยู่ด้วยความเชื่อ โดยที่ไม่รู้ว่า อาหารมื้อต่อไปจะเอามาจากไหน บางมื้อคือข้าวต้มกับตำลึงที่โตขึ้นเองหลังบ้าน เมื่อไปเรียนต่อ การที่ไม่มีเงินหรือ งานให้ทำ ก็ทำให้เรารู้จักความยากจน ความหิวโหย ความหมดหวัง และความท้อใจ

ในพระธรรมกาลาเทีย เมื่ออาจารย์เปาโลและอาจารย์บารนาบัส ได้รับมอบหมายให้นำพระกิตติคุณไปสู่ชาวต่างชาติ อาจารย์ยากอบ เคฟาสและยอห์น ต่างได้เน้นย้ำที่อาจารย์เปาโลจะไม่ลืมคนยากจน และถึงแม้ว่าพระกิตติคุณจะมีความเท่าเทียมกันเพราะทุกคนเป็นคนบาป ไม่ว่าจะคนยิว คนไทย หรือชาวต่างชาติ และไม่ว่าจะเป็นคนมั่งมี คนยากจน พระกิตติคุณแห่งความรอดเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนจำเป็นจะต้องได้ยิน แต่ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ในการเงิน ในโอกาส อาจทำให้บางคนให้ความสำคัญกับคนกลุ่มหนึ่ง โดยลืมคนอีกกลุ่มนึง

ในพระคำ มัทธิว 25:44-45 กล่าวว่า 'แล้วพวกเขาจะทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว หรือทรงกระหายน้ำ ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือทรงเปลือยพระกาย ประชวรหรือทรงถูกจำอยู่ในคุก และพวกข้าพระองค์ไม่ได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไร?’ เวลานั้นพระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า การที่พวกท่านไม่ได้ทำกับผู้เล็กน้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนไม่ได้ทำกับเราด้วย’ ' สิ่งที่เราทำให้กับผู้เล็กน้อย ผู้ที่หิว ผู้ที่กระหาย คนแปลกหน้า คนเปลือยกาย คนป่วยหรือ ผู้คุมขัง เราก็ทำให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะโดยส่วนมาก คนจะทำดีและเอาใจกับคนที่สามารถให้คืน อวยพร และมีผลประโยชน์กับเรา และลืมที่จะสนใจ คนยากจน ผู้เล็กน้อย หรือคนที่ไม่สามารถให้คืนอะไรได้เลย แต่อย่าลืมว่า ผู้เล็กน้อยเหล่านี้ก็เป็นพระฉายาของพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงสถิตในพวกเขา ทุกสิ่งที่เราทำกับผู้เล็กน้อย ผู้ยากจน เราก็ทำให้กับพระองค์

'คนที่เมตตาคนยากจนก็ให้พระยาห์เวห์ทรงยืม และพระองค์จะทรงตอบแทนการกระทำของเขา ' สุภาษิต 19:17 และในพระคัมภีร์ลูกา 14 ทำให้เราเห็นมุมมองของพระเยซู อย่างชัดเจน 'แต่เมื่อท่านจัดการเลี้ยงนั้น จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อย และคนตาบอด แล้วท่านจะเป็นสุข เพราะว่าเขาทั้งหลายไม่มีอะไรจะตอบแทนท่าน ส่วนท่านจะได้รับการตอบแทนเมื่อคนชอบธรรมเป็นขึ้นจากตาย” ' ลูกา 14:13-14 เพราะฉะนั้นเราเอง จึงต้องรับการเปลี่ยนแปลง สายตา หัวใจ และทัศนคติของเรา ที่เราจะให้ความสำคัญ ให้ความสนใจ ให้ความช่วยเหลือ กับผู้ที่ขัดสน ผู้อ่อนแอ ผู้เจ็บป่วย เหมือนกับเราปฏิบัติให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ขอให้เรามีโอกาสปฏิบัติตาม เชื่อฟัง และได้มีประสบการณ์กับการปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนกับที่เราปฏิบัติกับองค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆ ขอพระองค์ให้เราอวยพรผู้อื่น เหมือนอย่างที่พระองค์อวยพรชีวิตของเราต่อๆไป

อาจารย์ วาระ มีชูธน

คำถาม

1. ถ้าหากเราเป็นผู้ขัดสน ยากจน หมดหวัง เราจะรู้สึกอย่างไร เมื่อคนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วย?

2. พระกิตติคุณที่กินได้ หมายความว่าอย่างไรกับท่าน?

3. ในชีวิตประจำวันของเรา เราเดินผ่าน มองผ่าน เมิน ผู้ขัดสนยากจน คนไหนบ้างในชีวิตของเรา


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน 2021

“วันนี้จะเป็นวันที่ระลึกสำหรับพวกเจ้า ให้เจ้าทั้งหลายฉลองเป็นเทศกาลเลี้ยงถวายเกียรติพระยาห์เวห์ชั่วชาติพันธุ์ของพวกเจ้า พวกเจ้าจงฉลองเทศกาลเลี้ยงนี้และถือเป็นกฎถาวร” อพยพ 12:14


วันที่ 11 กันยายน ไม่ว่าจะปีไหนก็ตาม จะมีการระลึกถึงอ้วนแห่งโศกนาฏกรรม ที่เครื่องบินของผู้ก่อการร้ายบินเข้าชนตึก จะมีผู้คนออกมาวางเทียน วางดอกไม้ และเขียนความในใจ สัญลักษณ์เหล่านี้จึงเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ที่เขาจะจดจำไป และจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศชาติ และในทุกวันที่ 5 ธันวาคม คนไทยก็จะต้องใส่เสื้อสีเหลือง และระลึกถึงพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร ตราบใดที่ยังมีสัญลักษณ์ในวันที่ 5 ธันวาคม ความดี พระมหากรุณาธิคุณ คอยจะยังคงตรึงอยู่ในใจของเรา


ในฝ่ายจิตวิญญาณ การที่เราระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบิดาเจ้า โดยพระเยซู ไม้กางเขน และแน่นอน การเข้าศีลมหาสนิท จึงเป็นสัญลักษณ์ที่เราต้องจดจำ เพราะในวันนั้น ลูกแกะตัวหนึ่งต้องตาย และเลือดของลูกแกะก็อยู่บนไม้กรอบประตู เพื่อให้คนทั้งหลายรอดจากการเป็นทาสอย่างไร พระเยซูก็เปรียบเสมือนลูกแกะ และพระโลหิตที่หลั่งไหลบนไม้กางเขน ก็เพื่อให้คนทั้งหลายรอดอย่างนั้น ชาวยิวจึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำในชีวิต กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์ชนชาติอิสราเอลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะระลึกถึงพระราชกิจทั้งหลายของพระยาห์เวห์ ใช่แล้ว ข้าพระองค์จะระลึกถึงบรรดาการอัศจรรย์ของพระองค์ในสมัยก่อนๆ” สดุดี 77:11 และในหมวดหนังสือของประเทศ ถึงต้องจดบันทึกว่า “จงระลึกถึงการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงกระทำ หมายสำคัญและคำพิพากษาจากพระโอษฐ์ของพระองค์” 1 พงศาวดาร 16:12


เมื่อจัดบ้าน เพราะมีแขกมาเยี่ยม จึงได้ไปเจอหนังสือเก่าๆ ที่เคยเขียนจดบันทึกความสัมพันธ์ การตอบคำอธิษฐาน และประสบการณ์ส่วนตัวที่พระเจ้าได้นำผ่านมา ถึงกับต้องนั่งลงและค่อยๆ “ระลึกถึง” ความดีของพระองค์ในชีวิตที่เราลืมไป เมื่ออ่านเสร็จ ความมั่นใจ ความไว้ใจ และความเชื่อใจในการเดินไปกับพระองค์ ยิ่งมีมากขึ้น จึงค้นพบว่า การจดบันทึก การจดจำ และการมีสัญลักษณ์เพื่อย้ำเตือนชีวิตของเรา ทุกครั้งที่เรารับขนมปัง และดื่มน้ำองุ่น เราจึงจำเป็นจะต้องหลับตา และย้อนกลับไปถึงวันที่เราเดินออกมาจากประเทศอียิปต์ ได้เห็นพระคุณ และได้ประจักษ์กับการอัศจรรย์


ในอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ไม่ว่าพระเจ้าพูดอะไรกับเรา หรือให้เราผ่านพบบรรจบเจอกับเหตุการณ์อะไรก็ตาม คำซ้อนที่กระโดดออกมาจากพระคำ หรือเสียงเล็กๆในใจ ขอให้เราได้จดบันทึก เพื่อที่เราจะระลึกถึงพระองค์ และความดีของพระองค์ในชีวิตของเรา


อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. ทำไมเราถึงขี้ลืม และไม่ค่อยได้จดจำความดีของพระเจ้าในชีวิต

2. พระองค์เคยพาเราผ่านอะไรมาบ้าง ลองเขียนออกมาซัก 3 เรื่อง

3. การระลึกถึงพระเจ้า ควรจะเกิดปฏิกิริยาอะไรกับชีวิตของเรา


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน 2021

ศึก สงคราม

ในวันนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้วที่สหรัฐอเมริกา เกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประเทศ คือการที่ผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และทำให้มีผู้เสียชีวิตวันเดียว 3,000 คน ในวันนั้นพนักงานดับเพลิงที่เข้าไปช่วยในตึกก็เสียชีวิต ผู้คนวิ่งหนีตายกัน มีทั้งเสียงกรีดร้อง และภาพ เครื่องบินชนตึกที่ติดตาและหลอกหลอน จากความทรงจำนี้ ภาพข่าวและความทรงจำอันนี้ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้ว 20 ปีก็ตาม ก็ยังเป็นเครื่องย้ำเตือนที่ดีว่าเรากำลังอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความบาป และความเจ็บปวดนี้เองทำให้เกิดคำถามว่าในเหตุการณ์และวิกฤตของชีวิตว่าพระเจ้าอยู่ไหน


คำตอบก็คือพระองค์ยังอยู่ที่เดิม ตลอดมาและตลอดไป คือพระองค์อยู่กับเรา มัทธิว 1:23 ทูตสวรรค์ทรงเรียกพระองค์ว่า อิมมานูเอล หมายความว่า พระเจ้าอยู่กับเรา


เราจำเป็นจะต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าสร้างโลก มาด้วย พระองค์เอง พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ดูสิ ทรงเห็นว่าดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก ปฐมกาล 1:31 และถึงแม้ว่าความบาปจะเข้ามาในโลกที่สมบูรณ์แล้ว และได้ทำลายส่วนต่างๆของโลกไป แต่พระองค์ก็ยังไม่ยอมให้ความมืดชนะสิ่งที่พระองค์สร้าง "ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดไม่อาจเอาชนะความสว่างได้"

ยอห์น 1:5 พระองค์อยากให้เราส่องสว่าง เป็นแสง เป็นความหวังเหมือนกับที่พระองค์เป็น และถึงแม้ว่าความมืดมันจะปกคลุมทั่วทุกแห่งหนในชีวิต ในการเมืองที่วุ่นวาย, ในโรคระบาดโหดร้าย, ในครอบครัวที่แตกหัก, พระองค์จะนำเราให้เดินผ่านวิกฤติต่างๆด้วยสันติสุขที่แท้จริงได้ เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”

ยอห์น 16:33


ในฐานะคริสเตียนเราจึงมีความรับผิดชอบต่อสังคม ความอยุติธรรม และความถูกต้องในโลกสีเทานี้ แต่สิ่งที่เห็นคือคริสเตียนทำตัวเป็นผู้เล่นสำรอง นั่งรอวันถูกเรียก หรือผู้ชมที่ซื้อตั๋วมาดูความเป็นไป แต่กลับไม่ได้ลงมือทำจริงจัง อาจเป็นด้วยความกลัว ความหมดหวัง ไม่มีทุนทรัพย์ และปล่อยผ่านความทุกข์ยากรอบตัวเราให้ความมืดยังคงปกคลุมอยู่

คริสเตียนควรก้าวเข้ามาในความทุกข์ของคนรอบข้าง เพื่อนบ้าน แม่ค้า หรือแม้กระทั่งคนที่คุณไม่อยากเข้าไปยุ่ง เราควรจะเป็นแสงเป็นเกลือในวิกฤติของชีวิตเขา และนำเขามาให้รู้จัก กับสันติสุขที่แท้จริง ที่มีอยู่ในองค์พระเยซู และเมื่อนั้นเราจะเป็นแสงสว่างที่ส่องเข้ามาในความมืด อย่างที่พระเยซูสอนและพระองค์ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง


อ. วาระ มีชูธน

คำถาม

1. ความเชื่อของเรามีผลต่อการกระทำของเราอย่างไร

2. ทำอย่างไร ที่เราจะเป็นเกลือเป็นแสงๆสว่างได้ในความมืด

3. พระองค์ชนะโลกแล้ว หมายความว่าอะไร? หมายความว่าอะไรกับเรา?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน 2021

เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา แล้วฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น แต่บ้านไม่ได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา (มัทธิว 7:24‭-‬25)


ในช่วงเวลาที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะในเรื่องโรคระบาด จำนวนผู้ติดเชื้อ การงานที่มั่นคง เศรษฐกิจที่ขึ้นขึ้นลงๆ เราจำเป็นจะต้องปรับตัวตลอดเวลา เพื่อให้เราเข้ากับบริบท สถาณการณ์ รอบตัว เราเห็นนักบินปรับตัวมาขับ รถรับส่งอาหาร เราเห็นดารามาขายลูกชิ้นปิ้ง และแม้กระทั่งคริสตจักรเองก็ต้องปรับตัวกับ การนมัสการออนไลน์ สมาชิกที่ไม่ได้เจอหน้า เงินถวายที่ลดลง การปรับตัวจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราควรจะเรียนรู้ว่าจะปรับอย่างไรในแบบของพระคัมภีร์


มัทธิว 7:24‭-‬25 สอนให้เรารู้ว่า ไม่ว่าอุปสรรควิกฤต หรือพายุจะเข้ามาในชีวิตของเราในรูปแบบใด และไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงเราขนาดไหน เราจำเป็นจะต้องมีสมอยึดชีวิตของเรา ก็คือพระวจนะคำและการเชื่อฟัง เพราะในพระวจนะคำของพระองค์นั้นมีหลักการที่จะนำพาเราเดินไปอย่างมั่นคงในโลกที่เปลี่ยนแปลง หากใครเชื่อฟังและนำพระคำของพระองค์ไปใช้ บ้านของเขา ครอบครัวของเขา รวมถึงชีวิตของเขาเองก็ยังจะปลอดภัยมั่นคงบนศิลา


ในพระคำมีตัวอย่างของวิธีปรับตัวที่ดีในตัว "P" ทั้ง 6 ตัว ตัว P แรกคือ P ของ PRAY หรือการอธิษฐาน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดอยู่ในชีวิตของดาเนียล ผู้ชายที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกในดินแดนของศัตรู ถูกบังคับให้เปลี่ยนทุกอย่าง ตั้งแต่ชื่อ จนถึงอาหารการกิน จนถึงทรงผม และการเรียนรู้ทั้งหมด หรือพูดง่ายๆว่าล้างวัฒนะธรรมของ ดาเนียลทั้งหมดให้ลืมคนเก่า และกลายเป็น ดาเนียลคนใหม่ แต่ขณะที่วัฒนธรรมและสังคมเปลี่ยนแปลง หรือปรับเปลี่ยนคนอื่นๆ ดาเนียลยึดในความเชื่อเก่าของเขาและไม่เคยให้สถานการณ์รอบข้างเปลี่ยนแปลงความเชื่อของเขาเลย เพราะว่าเมื่อดาเนียลทราบว่ากษัตริย์ลงพระนามในหนังสือสำคัญนั้นแล้ว ท่านก็กลับบ้าน ซึ่งมีหน้าต่างห้องชั้นบนเปิดตรงไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และท่านก็คุกเข่าลงวันละ 3 ครั้ง อธิษฐานและขอบพระคุณพระเจ้าของท่านอย่างที่เคยทำเสมอ ดาเนียล 6:10 ดาเนียลสามารถผ่านแรงกดดัน การข่มเหง และการทดลอง ใน 3 รัชกาลของกษัตริย์ 3 พระองค์ได้ก็เพราะเขาได้ ยึดการอธิษฐานทุกวันเป็นสมอในชีวิตของเขา


โลกของคุณเปลี่ยนไปเร็วขนาดไหน ลูกของคุณโตขึ้นไวขนาดไหน เทคโนโลยีรอบข้างที่ต้องเรียนใหม่ มากขนาดไหน สิ่งเหล่านี้ย่อมมีผลกระทบต่อความรู้สึก ความคิด และแม้กระทั่งความเชื่อของเรา ขอที่เราจะยึดการสนทนากับพระเจ้า ยึดสายสัมพันธ์ลงลึกไปกับการรู้จักพระองค์ เพื่อที่เราจะไม่โอนเอียงเอนไปตามกระแส และถึงแม้เราต้องอยู่ในโลกที่บังคับให้เราปรับตัว ขอเรายึด และ ยืนอยู่บนการอธิษฐาน การใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้าในทุกวันของเรา


อ.วาระ มีชูธน


คำถาม

1. ถ้าเราสังเกตทรงผม เสื้อผ้า คำพูด และของใช้ในบ้าน เราเห็นว่าโลกนี้มีผลกระทบกับเราอย่างไร? มากน้อยแค่ไหน?

2. การอธิษฐานมีส่วน ทำให้ชีวิตของเรามั่นคงอย่างไร?

3. คุณให้ความสำคัญกับการอธิษฐานมากน้อยแค่ไหน? เราใช้เวลาต่อวันเป็นจำนวนกี่นาทีในการอธิษฐาน?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2021

'พระยาห์เวห์ตรัสแก่อับรามว่า “เจ้าจงออกจากดินแดนของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้า จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า ...ฝ่ายอับรามก็ไปตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ โลทก็ไปด้วย เมื่ออับรามออกจากเมืองฮารานนั้นท่านมีอายุได้ 75 ปี ' ปฐมกาล 12:1,4

ทุกครั้งที่เราขึ้นรถ เราก็ควรจะรู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหน ไม่มีใครในโลกนี้ ที่โบกแท็กซี่ และเมื่อแท็กซี่ถามว่า “ไปไหนครับ” จะตอบว่า “ไม่รู้จริงๆ” และไม่มีใครซื้อตั๋วเครื่องบิน โดยไม่รู้ว่าจะไปลงที่ไหน เพราะทุกการเดินทาง ย่อมจะต้องมีจุดหมายปลายทาง (ที่เรารู้ดี) จุดหมายปลายทาง เป็นตัวกำหนดความมั่นใจในการเดินทาง ทำให้รู้ว่าควรไปทางไหน ทำให้รู้ว่าควรไปอย่างไร (จะเดินไป หรือขึ้นรถ) พูดง่ายๆว่า ถ้าไม่มีจุดหมายปลายทางแล้ว การเดินทางจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

แต่เมื่อพระเจ้าเรียกอับราม “เจ้าจงออกจากดินแดนของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้า จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า” คำสั่งของพระเจ้าดูเหมือนจะไม่มีเหตุผล ไม่ใช่เพราะว่าเป็นคำสั่งให้ออกจากสิ่งที่เราคุ้นเคย ความปลอดภัยส่วนตัว ความมั่นคงในชีวิต ให้ทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้เบื้องหลัง และให้ออกเดินทางโดยไม่มีเป้าหมายปลายทาง เพียงเพื่อให้อับรามเชื่อฟัง ทำตาม โดยตัดตัวแปรที่สำคัญทั้งหมด เหลือเพียงพระเจ้า ให้พระองค์เป็นเป้าหมายปลายทาง ขอให้พระองค์ทรงเป็นหนทาง ให้พระองค์เป็นเหตุผล ให้พระองค์เป็นความมั่นคง เป้าหมายปลายทางจึงไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นบุคคล ถ้าคุณมั่นใจในตัวบุคคลคุณก็ไม่จำเป็นจะต้องมีตัวแปรอื่นใด เหมือนลูกน้อยที่นอนหลับไปในรถที่คุณพ่อขับ โดยไม่จำเป็นจะต้องรู้เป้าหมายปลายทาง เส้นทาง หรือระยะทาง เพราะลูกเชื่อในคุณพ่อ

ฝ่ายอับรามก็ไปตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์...โดยไม่มีข้อแม้ โดยไม่มีคำถามหรือมีข้ออ้างใดๆที่จะไม่ไป อับรามออกเดินทางทันที โดยไม่มีเป้าหมาย เหตุผล ทิศทาง รู้อย่างเดียวอาจเป็นเพราะการทรงนำขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก้าวแรกของอับรามจึงเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา และนำเข้าไปเป็นบิดาแห่งความเชื่อ การเชื่อฟังครั้งนั้นนำพาเขาให้ผ่าน สถานการณ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้นับครั้งไม่ถ้วนในชีวิต เพราะอับรามเชื่อในตัวบุคคลของพระเจ้า ในพระสัญญา ในการทรงนำของพระองค์ ตัวแปรอื่นใดจึงไม่สำคัญอีก

ในชีวิตของเราก็เช่นกัน พระเจ้าเรียก หากพระองค์นำ เมื่อพระองค์สะกิด เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์พูดด้วย สั่ง เราจึงจำเป็นจะต้องเลือกที่จะเชื่อในตัวของพระองค์ มากกว่าตัวแปรอื่นใด เมื่อการทรงนำชัดเจน ขอให้เท้าของเราก้าวออกไปด้วยความเชื่อของอับราฮัม ไม่ว่าจะเป็นการให้กับคนอื่น ขอโทษเมื่อเราไม่ผิด ใช้เวลากับคนที่เราไม่รู้จัก แบ่งปันกับคนที่เราไม่ชอบหน้า วางสิ่งที่เราว่าดี เดินออกมาจากความมั่นคงของตัวเราเพื่อที่เราจะเห็นว่าพระเจ้าเป็นใครจริงๆ

อาจารย์ วาระ มีชูธน

“If you want to walk on water, You have to get out of your boat”

หากคุณอยากเดินบนน้ำ คุณต้องออกมาจากเรือของคุณก่อน


คำถาม

1. หากคุณเป็นอับราฮัม คุณจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่? ทำไม?

2. ทำอย่างไรที่เราจะมีความเชื่อ เหมือนกับอับราฮัม?

3. พระเจ้าเคยนำเราให้ทำอะไร? เราเชื่อฟังพระองค์หรือไม่? หากไม่ได้เชื่อฟัง...มีเหตุผลอะไรที่เราไม่ทำ?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม 2021

ไม่ใช่จากน้ำท่วม

พระองค์ทรงเป็นที่กำบังของข้าพระองค์ พระองค์ทรงปกป้องข้าพระองค์จากความยากลำบาก พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยเพลงฉลองการช่วยกู้ - สดุดี 32:7


หลายคนพยายาม สอนให้เราพ้นทุกข์ หมดทุกข์ ปลดทุกข์ หลายปรัชญาหรือ ไลฟ์โค้ชก็มีหลายวิธี หลายมุมมองที่จะสอนให้เราเปลี่ยนตัวเองและให้เราพัฒนามุมมอง แต่ในความเป็นจริง ชีวิตของเราปลงในทุกเรื่องไม่ได้ โดยเฉพาะในหน้าที่ ความรับผิดชอบ หรือ กับคนที่เรารัก เมื่อค่าเทอมที่ต้องจ่ายแต่ไม่มีเงิน เมื่อธุรกิจครอบครัวพัง เมื่อทะเลาะกับภรรยาหรือลูก ยากมากที่จะตั้งอารมณ์ตายเมื่อปัญหาเข้ามา และเราเองก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกกลัว กังวล เจ็บ และเสียใจ


พระคำของพระเจ้าไม่เคยสอนให้เราปลงต่อความทุกข์ของชีวิต หรือหลบหลีกเลี่ยงต่อความความเจ็บปวด แต่ในทางตรงกันข้าม พระคำของพระเจ้าสอนว่าพระองค์จะอยู่กับเราในความยากลำบาก พระองค์จะออกศึกไปกับเรา จะรบแทนเรา จะปกป้องเราจากภัยอันตราย พระคำสัญญาเหล่านี้ไม่ได้มาจากปากของนักกวี หรือโปรดิวเซอร์แต่งเพลง แต่มาจากปลายปากกาของนักรบ กษัติย์ที่ต้องออกศึก เจอศัตรู ต้องห้ำหั่น ต้องตะบี้ตะบันกับข้าศึก ต้องถ่อยทัพเพราะแพ้ ต้องถูกล้อม แต่ถึงกระนั้นพระสัญญาของพระเจ้าก็ยังเป็นจริง "พระองค์ทรงเป็นที่กำบังของข้าพระองค์ พระองค์ทรงปกป้องข้าพระองค์จากความยากลำบาก" ไม่ใช่จะไม่เจอความลำบาก แต่เมื่ออยู่ท่านกลางความลำบาก พระองค์จะคุ้มครอง จะสถิตอยู่ และจะปกปักรักษาเรา ในปี 2554 น้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ บ้านผมอยู่แถวปทุมธานี หวังว่าปัญหาน้ำจะมาไม่ถึงบ้าน ปรากฎว่ามาไม่ถึงจริงๆ...ไม่ถึงชั้น 2 แต่ชั้น 1 ท่วมมิด แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไม่ใช่บ้าน โซฟา หรือ ทีวี แต่คือครอบครัว พันธกิจ สมาชิก และสิ่งเหล่านั้นก็ยังปลอดภัย พระองค์ไม่ได้ปกป้องเราจากน้ำท่วม แต่พระองค์ให้เราสามารถร้องเพลง ได้ขนาดขับเรือข้ามรั่วบ้านไป บทเพลงสรรเสริญพระองค์ยังอยู่ในใจ และสันติสุขก็ยังท่วมท้นจิตใจกว่าน้ำหลากที่ท่วมบ้าน ขนาดเราไม่มีที่อยู่ เรายังอยู่ในพระองค์ ขนาดเราหมดที่พักพิง พระองค์ยังเป็นที่กำบัง


ในชีวิตของเรา ไม่มีทางที่จะหลบหลีก หลีกเลี่ยงความทุกข์ได้ แต่พระสัญญาของพระองค์ บทเพลงของพระองค์จะยังคงอยู่ในชีวิตของเรา ท่ามกลางความเลวร้ายเหล่านั้น

อ.วาระ มีชูธน


คำถาม

1. การติดตามพระเจ้า เป็นคริสเตียนทำให้เราสบายขึ้น จริงหรือไม่ อย่างไร

2. พระสัญญาของพระเจ้ามีผลกระทบต่อการเผชิญปัญหาต่างๆในชีวิตเราอย่างไร

3. เราร้องเพลงแทนการร้องให้ได้อย่างไร


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2021

'ประชาชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด ชนชาติทั้งปวงเอ๋ย จงยกย่องพระองค์เถิด เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อพวกเรานั้นใหญ่ยิ่งนัก และความซื่อสัตย์ของพระยาห์เวห์ดำรงเป็นนิตย์ สรรเสริญพระยาห์เวห์'

สดุดี 117:1-2

พระคัมภีร์บทที่สั้นที่สุด และยังเป็นบทที่อยู่ตรงกลางของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม พระคัมภีร์มีทั้งหมด 1189 บท สดุดี 117 เป็นบทที่ 595 หรือจะพูดง่ายๆว่าเป็นจุดศูนย์กลางของพระคำ และก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่บทใจกลางพระคำจะหนุนใจให้เราสรรเสริญพระเจ้า เหมือนกับจะบอกเราว่า หัวใจสำคัญของสิ่งที่พระเจ้าอยากบอกกับมนุษย์ คือการที่เราจะรู้จักและเข้าใจ ถึงความสำคัญในการสรรเสริญพระเจ้า ในชีวิตของเรา

ผมมีสุนัขอยู่ตัวหนึ่ง มันชื่อ “คุณชาย” มันเติบโตขึ้นมาในบ้านของผมเพราะมันถูกทอดทิ้งโดยเจ้าของคนเก่า ไม่มีใครอยากได้ หน้าตามันไม่สวย ผมก็รับมาเลี้ยง และเพราะมันเป็นสุนัขตัวผู้ ผมกับมันจึงเข้าใจกัน มันเติบโตขึ้นมาใกล้ชิดกับผม ทุกที่ที่ผมไป มันจะเดินตาม เข้าห้องน้ำ เข้าห้องนอน เวลาที่ผมไม่อยู่ มันก็จะใช้ชีวิตเหงาๆ กินแล้วก็นอน เพื่อรอให้ถึงเวลา 16:00 น เมื่อผมกลับมาจากที่ทำงาน มันก็มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกับทุกวันมันอยู่เพื่อจะอยู่ใกล้ๆเจ้านาย มันนั่งรอที่ประตู แล้วมันดีใจเมื่อเจ้านายกลับมา เหมือนไม่ได้เจอกันมาปีนึง ได้เจอหน้า ไปนั่งเล่น ขอแค่มือของเจ้านายลูบหัวของมัน ขอแค่มันได้นั่งใกล้ๆใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์ ชีวิตของมันก็สมบูรณ์

ในทางเดียวกัน เราแต่ละคนถูกสร้างขึ้นมาด้วยจุดประสงค์เดียว คือเพื่อที่จะให้ชีวิตของเราได้ “สรรเสริญ” พระเจ้า ที่เราจะเฝ้ารอคอยหน้าของพระองค์ รอคอยที่จะได้อธิษฐาน อยู่จำเพาะพระพักตร์ ได้ร้องเพลงนมัสการ ได้ใช้เวลาเงียบๆ นั่งอยู่ใกล้ๆในพระสิริของพระองค์ สิ่งเหล่านี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเราสมบูรณ์ และได้เติมเต็มจุดประสงค์ของการทรงสร้าง อิสยาห์ 43:21 กล่าวว่า มนุษย์...'คือชนชาติที่เราปั้นเพื่อเราเอง เพื่อเขาจะกล่าวคำสรรเสริญเรา ' องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นเจ้าของชีวิตของเรา สร้างเราขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ และวัตถุประสงค์นั้นก็คือ ที่เราจะมีความสัมพันธ์กับพระองค์ รับความรักจากพระองค์ เข้าใจในความสัตย์ซื่อ และชีวิตของเราจำต้องสรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระเกียรติ เพราะฉะนั้น การ “สรรเสริญ” พระเจ้า ถวายเกียรติแด่พระองค์จึงไม่ใช่แค่ในช่วงเวลาเช้าวันอาทิตย์ หรือแค่ก่อนนอน แต่มันคือจุดประสงค์ของชีวิตทั้งหมด และทุกครั้งที่เราสรรเสริญพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ ให้เกียรติพระองค์ คิดถึงพระองค์ บอกเล่าเรื่องราวและความดีของพระองค์ เราก็กำลังเติมเต็มเป้าหมายและจุดประสงค์ของชีวิตของเราเอง

ถึงแม้ว่าในชีวิตประจำวันของเราจะเต็มไปด้วยภารกิจ ความรับผิดชอบ การงาน การเงิน ครอบครัว หนี้สิน เจ้านาย และเราก็วิ่งวุ่นเพื่อที่จะ “เติมเต็ม” ชีวิตของเราเอง เราก็จะค้นพบว่าเมื่อเราขาดจากการสรรเสริญ เราก็ขาดจากความสมบูรณ์ของการทรงสร้าง และยิ่งเรามี ยิ่งเราซื้อ ยิ่งเราทำ ยิ่งเราจ่าย โดยปราศจากการสรรเสริญ เราก็ยิ่งว่างเปล่า และใช้ชีวิตอย่าง “เหงาๆ” กิน แล้วก็นอนไปเรื่อยๆ แต่เมื่อไหร่ที่เราได้นั่งรอคอยพระองค์ นั่งนิ่งๆใกล้ๆพระองค์ ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อ่านพระคำของพระองค์ พูดคุยกับพระองค์ ได้สัมผัสพระองค์ เราเองก็เติมเต็มความสมบูรณ์ของชีวิตของเรา

ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ไม่ว่าเราจะยุ่งซะขนาดไหน หรือต้องวิ่งวุ่นเพราะบทบาทหน้าที่ และความรับผิดชอบจะเยอะขนาดไหน อย่าลืมเติมเต็มจุดประสงค์ของชีวิตเราโดยการสรรเสริญ นมัสการ ยกย่อง คิดถึง และอยู่ในการทรงสถิตของพระองค์ แล้วเราจะค้นพบสันติสุขอย่างลึกซึ้ง ที่ไม่มีทางได้จากโลกนี้ ขอให้การสรรเสริญพระเจ้าเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตของเรา

อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. มีอะไรที่บดบัง เข้ามาแทนที่ การใช้เวลากับพระองค์

2. การสรรเสริญพระเจ้าในชีวิตของคุณ ออกมาเป็นกริยาอย่างไร

3. ถ้าเราจัดตารางชีวิตของเราใหม่ โดยมีการสรรเสริญพระองค์เป็นเป้าหมาย ตารางชีวิตของเราจะมีหน้าตาอย่างไร


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2021

'พระเจ้าของข้าพระบาททรงใช้ทูตสวรรค์มาปิดปากสิงโตไว้ มันไม่ได้ทำอันตรายแก่ข้าพระบาท เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า ข้าพระบาทไร้ความผิดต่อพระพักตร์พระองค์ ข้าแต่พระราชา ข้าพระบาทไม่ได้ทำผิดประการใดต่อพระพักตร์ฝ่าพระบาทด้วย” แล้วดาเนียลทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่พระราชา ขอทรงพระเจริญเป็นนิตย์ '

ดาเนียล 6:21-22

ทุกวันนี้ในสังคมที่เราอยู่ เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เลือกฝั่ง เลือกฝ่าย เต็มไปด้วยคำด่าทอ ใส่ร้ายป้ายสี อิจฉา ถูกกดดันถูกเพ่งเล็ง จนบางครั้งไม่รู้ว่าควรจะเลือก หรือไม่เลือก ควรจะอยู่ฝ่ายไหน กลัวจะถูกมองเป็นแบบใดแบบนึง จนเกิดเป็นคำถามว่า เราจะยืนอย่างไรในสังคมที่เต็มไปด้วยความแตกแยก หรือเราควรมีบรรทัดฐานอะไรในชีวิตของเราเมื่อเราต้องเจอกับความอยุติธรรม

ชีวิตของดาเนียลเป็นกุญแจไขความลับของคนที่อยู่ในสังคม อยู่ในการเมือง เป็นที่เพ่งเล็ง จนกระทั่งนำดาเนียลมาสู่ความลำบากเพราะถูกใส่ร้าย ได้รับผลกระทบของความเกลียดชัง และต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง ความถูกต้องต่อพระเจ้า หรือความถูกต้องของโลกนี้ ดาเนียลเลือกที่จะเอาความเชื่อของเขาเป็นมาตรฐานและทำให้เขายืนยันอย่างมั่นคง ดาเนียล 6:4 ทำให้เราเห็นว่า ถึงแม้ดาเนียลใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังจนคนอื่นไม่สามารถจะหาความผิดก็ไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นความอยุติธรรมในสังคม ความอิจฉา และความบาปก็อาจนำคนที่ไม่ผิด ไม่รู้เรื่อง มาถึงทางแยกที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง และเป็นทางแยกที่ผิดไม่ว่าจะเลือกทางใดทางหนึ่ง แต่ในชีวิตของดาเนียล เขาเลือกที่จะทำอย่างที่เขาทำมาก่อนตลอดชีวิต คือที่เขาซื่อสัตย์กับมาตรฐานของพระเจ้า: 'เมื่อดาเนียลทราบว่ากษัตริย์ลงพระนามในหนังสือสำคัญนั้นแล้ว ท่านก็กลับบ้าน ซึ่งมีหน้าต่างห้องชั้นบนเปิดตรงไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และท่านก็คุกเข่าลงวันละ 3 ครั้ง อธิษฐานและขอบพระคุณพระเจ้าของท่านอย่างที่เคยทำเสมอ ' (ดาเนียล 6:10) เหมือนกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น และแรงกดดันของโลกก็ไม่สามารถสะทกสะท้านสิ่งที่เขาทำตลอดมา ความสม่ำเสมอของดาเนียลมีอยู่ให้เห็นชัดเจนตั้งแต่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย

แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี ความอยุติธรรมของโลกนี้ก็อาจนำมาให้ถึงความยากลำบากที่สุดในชีวิตของดาเนียล คือที่ต้องถูกลงโทษทั้งๆที่ไม่ผิด ถูกแกล้ง และถูกหมายปองชีวิต จนต้องถูกโยนลงไปในถ้ำสิงโต และพระเจ้าก็ซื่อสัตย์ต่อชีวิตของดาเนียลเช่นกันคือทรงช่วยกู้ และรักษาชีวิตของดาเนียล ในความมืด ไม่อันตราย จนดาเนียลต้องบอกกับกษัตริย์ว่า '....เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า ข้าพระบาทไร้ความผิดต่อพระพักตร์พระองค์” สิ่งแรกและสำคัญที่สุดคือดาเนียลมั่นใจว่าเขาใช้ชีวิตอยู่บนมาตรฐานของพระเจ้า ถ้าเราจะต้องผิด...ขออย่าให้เราผิดต่อพระเจ้า ไม่ว่าเราจะผิดด้วยมาตรฐานใด อย่าให้เราผิดต่อมาตรฐานของพระองค์ เพราะพระองค์เป็นไม้บรรทัดเดียวของชีวิตเรา

เราเคยถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ เราเคยรับความอยุติธรรม เราเคยถูกกดดันให้เลือก หรือถูกปรักปรำจากคนที่ไม่รู้จักเราจริงหรือเปล่า ขอให้ออกเราใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง และยืนอยู่บนมาตรฐานของพระคำพระเจ้า ขอให้เราเสาะหาสติปัญญาของพระองค์เมื่อมาถึงทางแยกของชีวิต ขอการตัดสินใจของเราจะเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเมื่อนั้น...เราก็ไม่จำเป็นจะต้องกลัวอะไรอีกเลย

อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. ในโลกของธุรกิจ การทำงาน การเมือง คริสตจักร ครอบครัว ชีวิตส่วนตัว โลกใบไหนมีความสำคัญสูงสุด

2. การทำผิด สามารถเป็นสิ่งที่ถูกต้องได้อย่างไร? การทำถูก กลับกลายเป็นสิ่งที่ผิดได้อย่างไร

3. ในทุกวันของชีวิต คุณใช้มาตรฐานไหนวัดการกระทำของคุณ


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม 2021

'แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ใครในพวกท่านที่มีเพื่อนคนหนึ่ง และเขาไปหาเพื่อนคนนั้นในเวลาเที่ยงคืน พูดกับเขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด เพราะเพื่อนของข้าเพิ่งเดินทางมาถึง และข้าไม่มีอะไรจะให้เขากิน’ เพื่อนที่อยู่ข้างในตอบว่า ‘อย่ารบกวนข้าเลย ประตูปิดแล้ว ลูกๆ กับตัวข้าก็เข้านอนกันหมดแล้ว ข้าไม่สามารถลุกขึ้นไปหยิบให้ท่านได้’ เราบอกพวกท่านว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นไปหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่ว่าเพราะถูกคนนั้นรบเร้าอย่างมาก เขาก็จะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่คนนั้นต้องการ เราบอกพวกท่านว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน '

ลูกา 11:5-9


ในคืนหนึ่งขณะที่ผมกำลังนอนอยู่ เป็นเวลา 3:00 น ผมได้ยินเสียงน้ำไหลไม่หยุดและแรงขึ้นไปชนสุนัขของผมเห่า ผมตื่นแล้ววิ่งไปดูก็บอกว่าท่อน้ำในห้องน้ำชั้น 4 แตกออกมาน้ำเอ่อล้นท่วมพื้น ด้วยความตกใจเลยวิ่งกดตรงจุดที่รั่วเพื่อให้น้ำไหลช้าลงและในขณะเดียวกันก็บอกให้ภรรยาโทรมาหาคนงาน ขณะที่ภรรยาโทรหาคนงาน คนงานก็ไม่รับโทรศัพท์เพราะเป็นเวลาที่ดึกมาก แต่เพราะน้ำไหลไม่หยุดและปัญหาก็แก้ไม่ได้ ภรรยาก็โทรอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะดึกขนาดไหนมาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจ จนคนงานรับและรีบขึ้นมาปิดวาล์วน้ำจนน้ำหยุดไหล

เช่นเดียวกันกับการเข้ามาหาพระเจ้า เมื่อเรามีเรื่องสำคัญและจำเป็นแล้ว เราควรจะเข้ามาหาพระองค์อย่างเร่งด่วน รบเร้าพระองค์อย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยความร้อนรน เพราะปัญหาที่มีนั้นไม่สามารถแก้เองได้ และยิ่งใหญ่เกินตัวของเรา ในคำอุปมา เพื่อนตั้งใจมายืม “ขนมปัง” เพราะเป็นสิ่งจำเป็น เป็นของที่เป็นขั้นพื้นฐาน ไม่ได้ขอ “สังขยา” หรือ “นมข้น” เมื่อเราเข้ามาหาพระองค์ เราจึงจำเป็นจะต้องขอในสิ่งที่จำเป็น

เมื่อเราสังเกตดูดีๆ คำอุปมานี้จดจ่อไปที่วิธีการขอของเพื่อน ทั้งการเคาะประตูอย่างไม่หยุด มาในเวลากลางคืน พูดเป็นประโยคยาวๆ อธิบาย และที่สำคัญ ไม่ฟังแม้กระทั่งข้ออ้าง การขอแบบนี้คือการขอแบบเดียวกันที่มีอยู่ใน ฮีบรู 4:16'ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่ช่วยเราในยามต้องการ' ความกล้า Boldly หรือ With Confidence หมายถึงความมั่นใจ ไม่มีความกลัว การขอพระเจ้าตัวทัศนคตินี้ เป็นการขอที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพราะเราเชื่อและไว้วางใจในพระองค์ จนกระทั่งเราไม่สงสัย ไม่เห็นแก่เวลา ไม่เห็นแก่สถานที่ และไม่เห็นแก่สถานการณ์ที่จะทำให้เราย่อท้อ ความเชื่ออย่างนี้ ที่มีอยู่ในพระคำมัทธิว 21:21 'พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าเพียงพวกท่านมีความเชื่อและไม่ได้สงสัย ท่านไม่เพียงจะสามารถทำแบบเดียวกับที่เราทำกับต้นมะเดื่อ แต่ถ้าท่านทั้งหลายจะสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงลอยขึ้นและเคลื่อนไปลงทะเล’ ก็จะเป็นไปตามนั้น ' และถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ตอบทันที เราก็ยังไม่เลิกที่จะเคาะประตูนั้น เพราะเรารู้ว่าพระองค์ฟังเราอยู่ และพระองค์จะตอบในไม่ช้า


ในชีวิตของเรา ถึงแม้ว่าเราจะอธิษฐาน ขอจากพระองค์ในหลายเรื่อง แต่อยากให้เราให้ความสำคัญในวิธีของการขอของเรา ว่าเรารบเร้าพระองค์ ด้วยความเชื่อ อย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความมั่นใจ หรือเราอธิษฐานแบบขอไปที วิธีที่เราขอจากพระองค์ก็มีผลกระทบต่อวิธีการตอบคำอธิษฐานของเราเช่นกัน ขอให้พี่น้องกล้าที่จะทูล เราเรียก อย่างไม่หยุดหย่อน จนกว่าพระองค์จะตอบ

อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. อะไรเป็นสาเหตุที่เราไม่อธิษฐานอย่าง ลูกา 11:5-9? ความเกรงใจ ความขี้เกียจ ความสงสัย หรือความท้อแท้ ?

2. เคยมีเรื่องอะไรที่ทำให้เราถึงกับอดอาหารอธิษฐาน? ทำไมเราถึงทำอย่างนั้น?

3. วิธีการขอของเรา และทัศนคติของการขอ บ่งบอกอะไรถึงตัวเรา ตัวพระเจ้า และความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2021

ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา

ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากไหน?

ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากพระยาห์เวห์

ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก

สดุดี 121:1-2


ตั้งแต่เด็กๆเมื่อได้อ่านพระวจนะคำตอนนี้ ก็ลองจินตนาการว่ากษัตริย์ดาวิดมองไปที่ภูเขา แล้วเขาเห็นอะไร เขาคิดถึงอะไร และทุกครั้งคำตอบก็เคยคิดว่า ความยิ่งใหญ่ของภูเขาก็เหมือนกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า หรือความกว้างของท้องฟ้าก็ย้ำเตือนถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า คำตอบนี้ก็ติดตัวของเรามาตลอดจนกระทั่งได้อ่านพระคำใน 1 ซามูเอล 23:24-26 เราเห็นดาวิดถูกต้อนโดยกษัตริย์ซาอูลจนเกือบจะจนมุมในภูเขา และทหารของซาอูลก็ล้อมรอบภูเขานั้น แต่พระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ซาอูลต้องถอยทัพกลับไปบ้าน และช่วยให้กษัตริย์ดาวิดได้มีชีวิตรอด 'ซาอูลจึงเสด็จกลับจากการไล่ตามดาวิดไปรบกับพวกฟีลิสเตีย เขาจึงเรียกที่นั้นว่าศิลาพ้นภัย ' 1 ซามูเอล 23:28


เมื่อกษัตริย์ดาวิดมองดูที่ภูเขา เขาได้จดจำ หวนนึกถึงวันเวลาที่มืดมนที่สุดของชีวิต ในช่วงเวลาที่คับขัน หมดทางสู้ ไม่มีทางแก้ และจวนตัว ภูเขาของกษัตริย์ดาวิดคือปัญหาในชีวิตที่ไม่มีใครแก้ได้ เขาจึงพูดกับตัวเองว่า “ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากไหน?” รอดมาได้อย่างไร ใครเป็นคนช่วยเราไว้ และแน่นอนคำตอบที่ชัดเจนคือ “ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากพระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” ภูเขาจึงเป็นสัญลักษณ์ที่นำให้เขาคิดถึงผู้ช่วยกู้เขา ปัญหาของกษัตริย์ดาวิดทำให้เขาคิดถึงผู้ช่วยเขาจากปัญหา แต่หลายครั้งปัญหาของเราทำให้เราคิดถึงแต่ความเจ็บปวด น้อยใจ ผิดหวัง และลืมว่าพระองค์เคยพาเราผ่านภูเขาลูกไหนมาบ้าง


ในชีวิตของโมเสส ภูเขาแห่งปัญหาอาจจะเป็นทะเลแดง และทหารอียิปต์ ภูเขาของอาจารย์เปาโลอาจจะเป็นแส้ และโซ่ตรวน ภูเขาของพระเยซูก็คือไม้กางเขนนั้น แต่ในภูเขาทุกลูกก็ทำให้เขาเหล่านั้นควรคิดถึงพระผู้ช่วยของเขา คือพระเจ้าพระบิดา ภูเขาของคุณคืออะไรในวันนี้ มีเหตุการณ์ ปัญหา วิกฤต หรืออุปสรรคใดในชีวิตที่พระเจ้าเคยพาเราก้าวข้ามผ่านพ้น ให้เราไว้วางใจในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระองค์เคยพาเรา “เดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช” อย่างไร ในภูเขาลูกอื่นๆ พระองค์ก็สามารถจะพาเราผ่านมันไปได้เช่นกัน อย่าให้ภูเขาแห่งอุปสรรคที่เราเจอ ทำให้เราไม่ไว้วางใจพระเจ้า แต่ขอให้มันย้ำเตือนถึงความสัตย์ซื่อของพระองค์ ความรักของพระองค์ และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในชีวิตเรา เหมือนที่พระองค์สัญญาว่า “'เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าครั่นคร้ามหรือตกใจเลย เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป” โยชูวา 1:9 ขอให้ “แผลเป็น” ในชีวิตของเราทำให้เราคิดถึงทั้งความเจ็บปวดของเหตุการณ์และพระคุณของผู้ทำแผล

อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. เมื่อคุณมองดูภูเขาในชีวิตของคุณ มีเหตุการณ์ไหนที่พระเจ้าเจ้าพาคุณผ่านมาได้

2. ภูเขาในชีวิตของคุณ ทำให้คุณระลึกถึงแค่ความเจ็บปวด ความผิดหวัง หรือทำให้คุณคิดถึงพระผู้ช่วย

3. การได้ระลึกถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า สำคัญอย่างไรในปัญหาของอนาคต


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม 2021

คนที่สงวนไม้เรียวก็เกลียดบุตรชายของตน

แต่คนที่รักเขาย่อมหมั่นตีสอนเขา สุภาษิต 13:24


มีหลายครั้งที่ผู้ปกครองใช้พระคำข้อนี้ เพื่อเป็นบรรทัดฐานของการลงโทษโดยการตี และเชื่อว่าการตีนั้นเป็นวิธีลงโทษที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิธีการตีเป็นวิธีการลงโทษแบบหนึ่งในจำนวนหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของข้อผิดพลาด สิ่งที่ต้องการจะสอน บุคลิกภาพของเด็ก และวิธีการเรียนรู้ของเขา ยังมีอีกหลายปัจจัยในการที่จะหาวิธีลงโทษที่เหมาะสม คำว่า “ไม้เรียว” ที่แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า rod ไม่จำเป็นจะต้องเป็นไม้เรียวแห่งการลงโทษอย่างเดียว

แม้ข้าพระองค์

จะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช

ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ

เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์

คทาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์ สดุดี 23:4


“ธารพระกร” ในที่นี้มาจากคำว่า “rod” หรือไม้เรียวนี่เอง ทำให้เราเข้าใจว่า “ไม้เรียว” ของพระเจ้าในชีวิตของเรา อาจจะเป็นไม้เรียวที่ตักเตือน มีไว้เพื่อปลอบโยน ใช้ไว้เพื่อปกป้องลูกแกะของพระองค์ หลายคนอาจคิดว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ “ดุ” และเป็นเหมือนกับพระบิดาที่เข้มงวด เมื่อเราทำผิด ก็จะโดน “ไม้เรียว” ตี แต่ในความเป็นจริงเราเห็น “ธารพระกร” เมื่อเราเดินอยู่ในปัญหา เดินอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช ที่ต้องการการปกป้อง การคุ้มครอง และด้วยธารพระกรนี้เอง พระองค์ใช้เพื่อการปกป้อง เพื่อคุ้มครองและทำให้เราอุ่นใจ “ธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์” และด้วยคทาและธารพระกร นี่เอง พระองค์ก็ใช้นำเราผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายในชีวิตของเรา


กุญแจสำคัญก็คือ เราติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิดหรือเปล่า? หากเราเป็นลูกแกะที่เดินออกนอกลู่นอกทาง ไม่ฟังเสียงผู้เลี้ยง มัวแต่หลงกับการกินหญ้า เดินตามใจตัวเอง “ธารพระกร” ของพระองค์ก็สามารถกลายเป็นไม้เรียว ตักเตือนเราและนำเรากลับมา แต่ถ้าเราติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด คอยเฝ้าติดสนิท คอยฟังเสียงพระผู้เลี้ยง “ธารพระกร” ก็กลายเป็นไม้เท้าแห่งการปกป้อง 'แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา ' ยอห์น 10:27 ขอให้เราติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด ด้วยการอธิษฐาน สามัคคีธรรมกับพระองค์ แล้วไม้เท้าของพระองค์ก็จะสามารถปกป้องเราจากภัยอันตรายรอบข้าง


อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. พระเจ้าเป็นพระบิดาที่ดุ หรือเป็นพระผู้เลี้ยงที่ดี ในชีวิตของเรา?

2. พระองค์เคยปลอบประโลม นำความอุ่นใจ ความมั่นใจ มาถึงเราอย่างไรในชีวิต?

3. ตอนนี้เราอยู่กับไม้เท้า หรือไม้เรียวของพระองค์? ทำไม


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม 2021

ถ้าใครไม่เคยเลี้ยงนกก็อาจจะไม่เข้าใจพระคำใน มัทธิวบทที่ 6:26 อย่างชัดเจน เมื่อพระคำบอกว่า “จงดูนกทั้งหลายบนฟ้า พวกมันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว ไม่ได้รวบรวมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของพวกท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงพวกมันไว้ ท่านไม่ประเสริฐกว่าพวกมันหรือ?” ภรรยาผมเลี้ยงนกหงส์หยก และผมก็คอยเฝ้าดูวิธีที่เขาใส่ใจดูแลมัน ทุกวันเขาก็จะเปลี่ยนน้ำ ดูว่าอาหารหมด หรือถาดรองของมันสกปรกและต้องล้าง ถึงแม้ว่าภรรยาของผมจะทำงาน ทำอาหาร ซักผ้า หรือทำความสะอาดบ้าน ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน เขาก็ยังมีเวลาจะดูแลนกหงส์หยกทั้ง 6 ตัวไว้ และในวันที่คู่ของมันตาย เธอก็ไปเดินที่อตก เพื่อหาคู่นกหงส์หยกตัวใหม่ให้กับมัน การดูแลเอาใจใส่นี้เป็นแค่สิ่งเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการเอาใจใส่ของพระบิดาเจ้าที่มีในชีวิตของเรา


เมื่อพระคำสอนให้เรา “...อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารไม่ใช่หรือ?” มัทธิว 6:25 ความกระวนกระวายของเรา มาจากความกลัวว่าเราจะมีไม่พอ ว่าเราจะขาดสิ่งดี และความปลอดภัยขั้นพื้นฐานของชีวิต แต่รากของความกระวนกระวายนี้ไม่ได้มาจากความกลัว แต่มาจากการไม่ไว้วางใจ เมื่อเปโตรเห็นพระเยซูเสด็จดำเนินมาบนน้ำ ทั้งๆที่มีความกลัวในพายุและการจมน้ำ แต่เปโตร เอาความเชื่อเข้าสู้ “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว ขอตรัสให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์” มัทธิว 14:28 เมื่อเปโตรวางใจ พายุ คลื่นลม ความกลัว ความกระวนกระวายทั้งหมดก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้

เราจำเป็นต้องมั่นใจไม่ใช่แค่ในพระบิดา แต่เราต้องมั่นใจว่าเรามีค่าในสายพระเนตรของพระองค์ “ท่านไม่ประเสริฐกว่าพวกมันหรือ?” พระเยซูถามถึงคุณค่าของชีวิตของเรา ถ้าพระเจ้าจะดูแลสิ่งที่มีค่าเพียงเล็กน้อย อย่างเช่นนกเหล่านี้ พระองค์จะดูแลชีวิต อนาคต การศึกษา การเงิน คู่ครองของเราดีขนาดไหน ความมั่นใจว่าเรามีค่าขนาดที่พระบิดาส่งพระบุตรองค์เดียวมาไถ่บาปและสิ้นพระชนม์เพื่อเรา ความรู้นี้ควรจะทำให้เกิดความสงบนิ่งท่ามกลางปัญหารอบด้าน


พระคำของพระเจ้ายืนยัน คำมั่นสัญญาของพระองค์“อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้าอย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้าเราจะเสริมกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้าเราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา” อิสยาห์ 41:10 ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ไม่ว่าเรากระวนกระวายเรื่องอะไร ขอให้มั่นใจว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ใกล้ๆ และพระองค์พร้อมจะเสริมกำลังและช่วยเราให้ผ่านพ้นอุปสรรคมากมาย และยังมั่นใจต่อไปอีกว่า เราเป็นคนที่มีค่าของพระองค์ และพระองค์ใส่ใจเรามากกว่าภรรยาของผมใส่ใจนกหงส์หยกของเธอ

อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. มีอะไรในชีวิตของเรา ที่ทำให้เกิดความสงสัยในการเลี้ยงดูของพระเจ้า?

2. มีอะไรในชีวิตของเราที่ทำให้เกิดความสงสัยในคุณค่าของตัวเรา?

3. ลองมองย้อนกลับไปว่าพระเจ้าดูแลชีวิตของเราดีขนาดไหน

4. มีพระคำอื่นยืนยันที่ท่านสามารถท่องขึ้นใจ ในวันที่อุปสรรคย่างกรายเข้ามาไหม?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม 2021

กิจการ 3:6

แต่เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองเราไม่มี แต่สิ่งที่เรามีนั้นเราจะให้ท่าน คือในพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด”


แน่นอนสิ่งที่ครอบครองความสนใจของเรามากที่สุดอย่างหนึ่ง คงจะเป็นเงินและทอง เราตื่นแต่เช้า ทนทุกข์กับรถติด ยอมทำงานหนัก กลับดึก ไม่มีวันหยุด เพียงเพื่อเงินและทอง พระเจ้าทรงทราบดีถึงจุดอ่อนของเรา พระคำของพระองค์จึงมีเรื่องเกี่ยวกับเงินทองมากกว่า 2,000 ข้อ และในคำอุปมาของพระเยซูกว่า 40% ก็เกี่ยวกับเรื่องเงิน เราฉันเป็นสาวกของพระองค์จึงจำเป็นจะต้องระมัดระวัง ใส่ใจ และสนใจในเรื่องของเงินและทองเป็นพิเศษ “เพราะว่าการรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด ความโลภเงินทองนี้ที่ทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมาย” 1 ทิโมธี 6:10


คนขอทานที่เป็นง่อยที่ถูกนำมาปล่อยให้ขอเงินทุกวันๆ คงเพียงแค่นึกในใจว่าจะได้เงินกลับไปกี่บาท โดยลืมไปว่าความขาดที่แท้จริงของเขา คือความง่อยในชีวิต แต่ในเมื่อความง่อยแก้ไขไม่ได้ เงินและทองที่ได้มาแต่ละวัน อย่างน้อยก็คงจะประทังชีวิตของเขาต่อไปได้เรื่อยๆ เมื่อเปโตรและยอห์นเดินผ่านมา ขอทานง่อยคนนี้จึงเริ่มการขอ โดยไม่คาดคิดเลยว่าชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยน แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของเปโตรคือ “เงินและทองเราไม่มี” ขอทานง่อยคงจะผิดหวัง และคงจะมองหาผู้เมตตารายอื่นต่อไป “แต่สิ่งที่เรามีนั้นเราจะให้ท่าน...คือในพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด” ขอทานง่อยก็กระโดดลุกขึ้น เต้นโลดสรรเสริญพระเจ้า


ในสภาวะเศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้ เราทุกคนมีข้อจำกัดทางการเงิน เราหลายคนก็ยังเป็นหนี้สิน อยากมีภาระ ถึงแม้เราหลายคนอยากจะช่วยคนรอบข้าง แต่เมื่อมองดูกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง ก็ค้นพบว่า “เงินและทองเราไม่มี” แต่สิ่งที่เราทุกคนมี คือฤทธานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้า “สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไป…” มัทธิว 28:18-19 พระเจ้าทรงประทานสิทธิอำนาจของพระองค์ เมื่อพระองค์สั่งให้เราออกไปรัก ออกไปช่วย ออกไปสร้าง ออกไปนำ เราอาจไม่สามารถเลี้ยงคน 5000 คนได้ แต่สิทธิอำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเรา “เพื่อที่ว่าเพราะพระนามของพระเยซูนั้น ทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก และใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงกราบพระองค์ 11และเพื่อที่ว่าทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” ฟีลิปปี 2:10-11


มีหลายคนรอบตัวเรา ที่คงจะคิดว่า เงินและทองเป็นคำตอบของชีวิต ถ้ามีเงินเยอะกว่านี้ ถ้ามีทองสักเส้นหนึ่ง ชีวิตคงจะดีขึ้น อยู่รอด แต่ในความเป็นจริงแล้วหลายคนลืมไปว่า ความง่อยของชีวิตของเรา เงินและทองก็ช่วยไม่ได้ สิ่งที่เพื่อนๆของเรา เจ้านาย ลูกน้อง และคนรอบตัวของเราต้องการจริงๆ คือฤทธิ์อำนาจขององค์พระเยซูคริสต์ ในชีวิตของเขา ที่จะเปลี่ยนความง่อย ความอ่อนแอ ความบาป ให้กลายเป็นชีวิตที่สามารถลุกขึ้น กระโดดโลดเต้น และสรรเสริญพระเจ้าได้


ขอในอาทิตย์ที่จะถึงนี้ เราจะตระหนักถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าผ่านองค์พระเยซูคริสต์ และที่เราจะใช้ชีวิตของเรา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อส่วนรวม และในความสัมพันธ์ส่วนตัว ที่เราจะให้ความรักของพระเจ้าเป็นสิ่งที่รักษาความเจ็บปวด ความอ่อนแอ และทำพังในชีวิตของคนรอบด้านของเรา เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงทำกับเรามาแล้ว “แล้วเปโตรก็จับมือขวาของเขาพยุงขึ้น” ขอพระองค์ทรงใช้มือของเรา ที่จะพยุงคนรอบข้างให้เขาลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. คุณคิดยังไงกับคำพูดที่ว่า “เงินและทองซื้อความสุขไม่ได้” เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร?

2. ในชีวิตของเราส่วนตัว อะไรคือสิ่งที่ทำให้ความง่อยของเราหายไปจากชีวิต หรือดีขึ้นอย่างชัดเจน?

3. จากคำข้อนี้ เราจะช่วยคนรอบข้าง คนในชีวิตประจำวันของเราอย่างไรให้เป็นรูปประธรรม?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน 2021

อยู่ในพระเจ้า

ในขณะที่ผมกำลังปอกมันฝรั่ง อยู่ในห้องใต้ดินที่มืดและอับชื้น คำถามเกิดขึ้นในหัวสมองว่า “เรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้” เพราะสิ่งที่เราทำไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้นในพระธรรม ใกล้ชิดพระเจ้า หรือบริสุทธิ์ขึ้น เพียงแต่เรามานั่งปอกเปลือกมันฝรั่งให้เพื่อนร่วมชั้นได้รับประทานไปวันๆ แต่สิ่งที่ลืมไปนั้นคือไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร ในเวลาไหนก็ตาม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา ทำให้เรานึกถึงคำพูดของนักบุญ Lawrence ที่อธิษฐานไว้ในหนังสือ Practice in the presence of God ขณะที่ท่านล้างจานและเตรียมอาหารในวิหาร และขณะที่ท่านซ่อมรองเท้าให้กับนักบุญคนอื่


น และคนยากจน ท่านเขียนไว้ในหนังสือบันทึกว่า “Lord of all pots and pans and things . . . Make me a saint by getting meals and washing up the plates!” พระเจ้าแห่งหม้อและกระทะ...ขอทรงกระทำให้ข้าพระองค์เป็นอัครทูตโดยการเตรียมอาหารและการล้างจาน


ฟังดูครั้งแรกอาจจะดูเหมือนการล้อเลียนพระเจ้า แต่ถ้าหากเราตั้งใจอ่านในพระวจนะคำ มีหลายครั้งที่พระคัมภีร์สื่อให้เห็นถึงการทรงสถิตของพระเจ้าในกิจวัตรประจำวันของเรา “ขอจงใคร่ครวญดูสิ่งเหล่านี้คือ…” ฟีลิปปี 4:8, “จงติดสนิทอยู่กับเรา…” ยอห์น 15:4, “จงเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน…” โคโลสี 3, “การเอาใจใส่พระวิญญาณ...” โรม 8:6, “ท่านจงระลึกถึงทางซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงนำท่าน…”เฉลยธรรมบัญญัติ 8:2 พระคำเหล่านี้ สอนให้เราฝึกที่จะคิดถึงพระองค์ ฝึกที่จะย้ำเตือนตัวเราว่าเราอยู่ในพระองค์ ให้เราตระหนักว่า “He is nearer to us than we think” - นักบุญ Lawrence “พระองค์อยู่ใกล้เรากว่าที่เราคิด” และไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป” โยชูวา 1:9 ไม่ว่าเราจะอยู่ในรถ ในเรือ ในปัญหา นอกปัญหา ในคริสตจักร ในสำนักงาน ในโรงเรียน ในความเจ็บปวด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราทุกคนอยู่ในพระเจ้า...ตลอดเวลา “...เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” มัทธิว 28:20


ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ขอให้เราทุกคนย้ำกับตัวเองเสมอ และบ่อยครั้งที่สุด ว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ เดินไปกับเรา และพูดคุยกับเราได้ในทุกกิจวัตรประจำวันของเรา ขอเพียงแค่เราระลึกถึงพระองค์ พูดคุยกับพระองค์ เข้าส่วนในพระองค์ และให้พระองค์เข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวันของเรา ในการตัดสินใจเล็กๆน้อยๆ ทุกครั้งที่นั่งลงทานข้าว ซื้อของในเซเว่น อาบน้ำถูสบู่ เล่นมือถือ นั่งท่ามกลางรถติด ให้เราฝึกฝนตัวเองที่จะคิดถึงพระองค์เหมือนคนรักที่เพิ่งจากกัน เหมือนลูกที่อยู่ไกลจากบ้าน เหมือนเด็กที่มองไม่เห็นคุณพ่อ ให้เรา “อยู่ในพระเจ้า” เสมอ


“ขอให้เราล้างจาน เหมือนกับที่พระเยซูล้างเท้า”

- อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. มีอะไรในชีวิตประจำวันของเรา ที่ดึงเราออกจากความสนใจ ความตระหนัก ว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้เรา

2. เราเคยคิดถึงใครบ่อยๆ เหมือนกับจะเอาเขาออกจากหัวเราไม่ได้? ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?

3. เราจะฝึกฝนอย่างเป็นรูปประธรรมอย่างไร เพื่อที่จะย้ำตัวเองเสมอว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้เรา และเราอยู่ในพระองค์?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน 2021

เพื่อนในพระองค์

ในชีวิตของเรามีเพื่อนหลายคน แต่ในทุกคนจะมีเพื่อนคนหนึ่งที่ ไม่ว่าเราจะล้มเหลว ผิดพลาด หรือพ่ายแพ้อย่างไร ไอ้เพื่อนคนนี้ของเราก็ยังคงจะอยู่เคียงข้าง เราจำคำพูดเมื่อเราสอบตก คำปลอบโยนเมื่อเราอกหัก เพื่อนคนนี้มักจะแบ่งอาหารในวันที่เราไม่มีกิน แล้วจะมีมุมมองดีๆที่ท้าทายเราให้เติบโต ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสมัยมัธยม หรือเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย และไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เพื่อนคนนี้ก็ยังเป็นคนที่เราพึ่งพาได้เสมอ ความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิท ถึงเป็นความสัมพันธ์ที่ผ่านร้อน ผ่านหนาว มาด้วยกัน รู้ใจกัน หนุนใจกัน และเห็นใจกันเสมอ



ในปี 1844 ชายหนุ่มจากประเทศ Ireland กำลังเดินทางกลับหลังจากเรียนจบ เพื่อที่จะไปแต่งงานกับผู้หญิงสาวที่คบหากันมานานในวันรุ่งขึ้น ระหว่างทางได้เห็นอุบัติเหตุรถม้า และมีผู้จมน้ำอยู่ในหนองน้ำนั้น เมื่อเขาลงไปดูก็ค้นพบว่าเป็นคู่หมั้นของเขาเอง ชีวิตและความฝันของเขาพังทลายลงในวินาทีนั้น หลังจากนั้น โยเซฟ สครีเวน ย้ายถิ่นฐานและไปเริ่มต้นใหม่ที่ประเทศแคนาดา ขณะที่เขาตกหลุมรักครั้งที่ 2 และอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเข้าสู่พิธีแต่งงาน คู่หมั้นของเขาก็ล้มป่วยและเสียชีวิตลง และแน่นอน ชีวิตของเขาก็พังลงอีกครั้งหนึ่งโดยไม่มีคำอธิบาย และไม่มีความหวังอีก ความเสียใจอย่างหนักหน่วงกลับผลักดันให้เขาเข้าหาพระเจ้า อธิษฐานกับพระองค์ และจดบันทึกความรู้สึกทั้งหมดของเขา ออกมาเป็นคำกลอนที่พูดถึงความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งที่เขามีกับพระเยซูในขณะที่เขาเสียใจอย่างที่สุด ขณะที่เขาสูญเสียทุกอย่าง เขายังมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เขาพึ่งพา พักพิง และพูดคุยได้เสมอ คำกลอนนี้เองถูกตีพิมพ์และใส่ดนตรีจนกลายเป็นเพลงที่เราร้องกัน “ มีสหายเลิศคือพระเยซู ผู้ได้แบกบาปทุกข์ของเรา มีอะไรรบกวนให้โศกเศร้า จงรีบเร่งมาเข้าเฝ้า”


ในชีวิตของเราอาจจะเจอกับความผิดหวัง ความเจ็บปวด ความยากจน และความท้อแท้ในชีวิต แต่อย่าลืมว่า ขณะที่คนอื่นเดินออกจากชีวิตของเรา ยังมีเพื่อนคนหนึ่งที่ยังคอยยืนเคียงข้างเราและเพื่อนคนนี้ได้วางชีวิตของเขาลงเพื่อเรา ยอห์น 15:12-15 สัญญาว่า “บัญญัติของเราคือให้พวกท่านรักกันและกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน 13ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน 14ถ้าพวกท่านประพฤติตามที่เราสั่ง ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา 15เราจะไม่เรียกพวกท่านว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย…” เพื่อนคนนี้พร้อมที่จะฟัง และคอยรับรู้ความเป็นไปของชีวิตเราเสมอ พระองค์จะมีมุมมองดีๆที่ท้าทายเรา พระองค์จะแบ่งปันพระพรของพระองค์กับเราเสมอ และจะไม่มีวันไหนที่พระองค์จะหยุดรักเรา และหยุดเรียกเราว่าเพื่อน ขอที่เราจะปฏิบัติกับพระองค์เฉกเช่นเดียวกัน คือใช้เวลากับพระองค์ แบ่งปันสาระทุกข์สุขดิบ ระบายความในใจ ร้องไห้เมื่อเจ็บปวด บ่นเมื่อคับข้องใจ ขอเมื่อเราขาด และอนุญาตให้เพื่อนคนนี้เข้ามามีส่วนในชีวิตของเรา


และอย่าลืมที่เรานั้น ก็ควรจะเป็นเพื่อนอย่างเดียวกันกับคนที่บาดเจ็บ “บัญญัติของเราคือให้พวกท่านรักกันและกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน” ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราจะมีหูที่คอยรับฟังคนอื่น สนใจคนอื่น ช่วยลดความเจ็บปวดของคนอื่น และคอยแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนกว่าเขาจะเรียกเราว่า “เพื่อน”

อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. เพื่อนสนิทที่สุดของคุณคือใคร และเขามีคุณสมบัติอะไรที่ทำให้คุณเรียกกันว่าเพื่อนสนิท

2. คุณกับพระเยซู มีความสนิทสนมเป็นเพื่อนห่างๆ เพื่อนของเพื่อน เพื่อนของพ่อ เพื่อนคุย หรือเพื่อนสนิท? อย่างไร?

3. การเชื่อฟัง ความรัก ทำไมจึงส่งผลให้พระองค์เรียกเราว่าเพื่อน ?


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2021

สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้ และเป็นคนที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง 25พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น ยอห์น 21:24-25


กลยุทธ์การตลาดที่ประสบความสำเร็จที่สุดวิธีหนึ่งคือการใช้ คำบอกเล่าของผู้ที่ใช้สินค้านั้นจริงๆ การบอกปากต่อปากของผู้ที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์นั้น และมีประสบการณ์จริงจากคนที่ไม่ได้จ้างมา โดยเฉพาะในโลกของสื่อจาก Social Media ยิ่งทำให้การเล่าคำพยานยิ่งมีน้ำหนัก และไปถึงกลุ่มลูกค้าได้โดยเร็ว


ในสมัยพระเยซู การได้มีประสบการณ์จริง ได้เจอพระเยซูหน้าต่อหน้า และได้อยู่ในเหตุการณ์ของการทำอัศจรรย์ต่างๆ ทำให้บุคคลนั้นเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่า มีแต่คนรายล้อม อยากได้ยิน และอยากฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่าการที่ได้อภิสิทธิ์ในการเดินกับพระเยซูนั้น มีรายละเอียด และมีผลกระทบอย่างไร สาวกคนที่พระเยซูรัก...ยอห์นจึงจดบันทึกเหตุการณ์ คำพูด รายละเอียด ความรู้สึก เพื่อจะบอกเล่าให้ผู้อื่นได้ยิน ได้เห็นภาพ ได้รับรู้และมีประสบการณ์ร่วมไปกับท่าน ชีวิตของท่านจึงกลายเป็นพระกิตติคุณให้ผู้อื่นได้อ่าน แต่ที่น่าประหลาดใจคือในพระคำข้อสุดท้าย ในบทสุดท้าย ท่านอัครทูตยอห์น บันทึกไว้ว่า “พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย” เหมือนกับจะบอกว่า งานที่พระองค์ทำนั้นยังไม่เสร็จ และชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเราเองนั้น ก็สามารถกลายเป็นพระกิตติคุณให้ผู้อื่นอ่านได้เช่นกัน


เมื่อพระเยซูเจอกับหญิงชาวสะมาเรียในพระคำยอห์น 4 เมื่อสิ่งนั้นมีประสบการณ์กับพระองค์

“28ส่วนหญิงคนนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกพวกชาวบ้านว่า 29“มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” 30คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์ ชีวิตของเธอจึงกลายเป็นคำพยานบอกต่อไปสู่คนอื่น ชีวิตของท่านก็เช่นกัน เมื่อพระเจ้าได้ไถ่ชีวิตของเรา นำเราด้วยพระคุณ ใส่ความอัศจรรย์ในประสบการณ์และได้เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ตรง เราจึงจำเป็นที่จะต้องบอกต่อ ในพระคำสดุดี 117:1-2 กล่าวว่า

ประชาชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด

ชนชาติทั้งปวงเอ๋ย จงยกย่องพระองค์เถิด

2เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อพวกเรานั้นใหญ่ยิ่งนัก

และความซื่อสัตย์ของพระยาห์เวห์ดำรงเป็นนิตย์


ในสัปดาห์ที่จะถึง ขอเรื่องราวของพระเจ้า คำพยานจากผู้มีประสบการณ์ตรง จะไม่อยู่แค่ในจิตใจคือความทรงจำของเรา แต่จะถูกถ่ายทอดออกไปสู่คนรุ่นอื่นๆ เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาส ลิ้มรสความดีของพระเจ้าด้วยตัวของเขาเอง


อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. เคยมีสินค้าดี ร้านอาหารดี ลดราคา ที่เราตื่นเต้นในการบอกเพื่อนของเราหรือไม่ เพราะอะไรเราถึงบอกต่อ?

2. มีอะไรที่คอยขัดขวาง ไม่ให้เราพูด คำพยานของเราต่อเพื่อนๆ?

3. ชีวิตของเราจะไม่มีคำพยาน ถ้าเราขาด……. (เติมคำลงไปในช่องว่าง)


บทเฝ้าเดี่ยวประจำสัปดาห์@วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2021

เพื่อคนอื่น

ในการขับรถยนต์ รถที่วิ่งถนนทางหลักคือถนนเส้นที่ใหญ่กว่าจะมีสิทธิ์ในการเดินทางรถโดยที่ไม่ต้องหยุดให้ทางกับรถที่ออกจากซอย หรือถนนเส้นรอง แต่ในบางครั้งเราจะเห็นน้ำใจ การวางสิทธิ และความเห็นใจให้กับออกรถที่อยู่ในซอย ได้ออกมาและให้ทางกับเขาได้ไปก่อน ได้มีสิทธิ และได้รับผลประโยชน์ โดยรถเส้นหลักจำเป็นจะต้องหยุดความรีบ คิดถึงผลประโยชน์คนอื่นมากกว่าตัวเอง และวางตัวตนของตัวเองลงเพื่อคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และทัศนคตินี่เอง คือทัศนคติฝ่ายจิตวิญญาณที่อาจารย์เปาโลหนุนใจให้เรามีในชีวิตประจำวัน


ปัญหาในคริสตจักรในกรุงโรมคือมีคริสเตียนที่ไม่ได้เป็นคนยิวมาเชื่อพระเจ้าแต่ไม่เคยได้อ่านพระวจนะคำหรือฝึกปฏิบัติในหลักของพระคัมภีร์เดิม กฎต่างๆของการกินอาหาร การดื่ม และไม่เคยได้ท่องจำหนังสือม้วนที่โมเสสเขียน จึงมีปัญหาว่าพี่น้องบางคนมีสิทธิ์ในการการกิน การดื่ม หรือการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากพี่น้องชาวยิวที่รักษากฎบัญญัติอย่างเคร่งครัด อาจารย์เปาโลจึงเตือนพี่น้องในกรุงโรมว่า “เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุขและความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์” โรม 14:17 แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ใช้กับพี่น้องในกรุงโรมกับคริสตจักรในยุคแรก แต่หลักการของพระคำใช้ได้ในชีวิตประจำวันของเรา คือการที่เรามีสิทธิ์ในการใช้ชีวิต กิน ดื่ม ซื้อ เล่น คบ ตื่น ใช้ ดู อะไรต่างๆในชีวิตอีกมากมาย แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นรถทางหลักที่จะหยุด งดใช้สิทธิ์เหล่านั้นของเรา เพื่อให้พี่น้องที่คิดต่างกัน ได้รับผลประโยชน์ ไม่สะดุดในความประพฤติของเรา เพียงเพราะความเชื่อที่แตกต่างกัน บางคนที่ดื่มเหล้าองุ่นได้ ก็ไม่จำเป็นจะต้องดื่มต่อหน้าพี่น้องที่ไม่เชื่อในเรื่องของการดื่ม บางคนใช้ของมียี่ห้อได้ แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ต่อหน้าพี่น้องที่เชื่อในเรื่องของการประหยัด และถึงแม้ว่าเราจะมีสิทธิ์เล่นกีฬา ทำงาน สังสรรค์กับเพื่อนในวันสะบาโต แต่เมื่อมีพี่น้องอีกหลายคนที่ไม่ได้เชื่อเช่นกัน เราจึงควรที่จะวางสิทธิ เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพี่น้องของเรา “เหตุฉะนั้นให้เรามุ่งประพฤติในสิ่งซึ่งทำให้เกิดความสงบสุขและความเจริญแก่กันและกัน” โรม 14:19


ผู้ชายที่เป็นแบบอย่างในเรื่องนี้ที่สุดคือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า บุตรของพระเจ้า เพราะพระองค์มีสิทธิทุกอย่าง และสามารถทำทุกสิ่ง และเป็นคนที่สามารถกำหนดสิทธิของคนอื่นได้ด้วย แต่พระองค์เองยอมตัวของพระองค์ ลงมาอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ อำนาจ และกรอบความคิดของมนุษย์ เพราะพระองค์เห็นแก่เรา “ จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ 7แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์ 8พระองค์ทรงถ่อมตัวลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน” ฟิลิปปี 2:5-8 เราเองซึ่งควรมีจิตใจที่คิดถึงผลประโยชน์ของคนอื่น เพื่อนๆที่มีความเชื่อต่างกัน เพื่อที่เขาจะไม่สะดุดในความเชื่อของเรา


หลักการของพระเยซูคือการวางชีวิตของเราเพื่อมิตรสหายของเรา (ยอห์น 15:13) เราเองจึงจำเป็นจะต้องวางชีวิตของเรา ผลประโยชน์ของเรา สิทธิของเรา เวลาของเรา ความต้องการของเรา เพื่อเห็นแก่คนอื่น เพราะการให้เป็นเหตุให้เกิดความสุขยิ่งกว่าการรับ เราจึงควรที่จะเรียนแบบองค์พระเยซูคริสของเราและให้ทางกับพี่น้องของเรา และเมื่อเราเริ่มต้นที่จะฝึกฝนการยอมในสิ่งเล็กน้อย พระเจ้าก็จะใช้เรา และให้กำลังใจเราในการยอมในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ขอให้เราเป็นผู้สร้างสันติ เป็นผู้เล็กน้อย แต่เป็นผู้ถ่อมใจตอบพี่น้องในชีวิตของเรา


อาจารย์ วาระ มีชูธน


คำถาม

1. อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราระวังตัว ยืนห่าง และให้ทางกับพระสงฆ์ที่กำลังโดยสารในรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือที่สาธารณะ

2. ทำไมเป็นการยากที่จะฝึก การวางสิทธิ วางผลประโยชน์ และวางตัวตนของเรา เพื่อคนอื่น

3. การยอมต่อคนอื่น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยอมต่อพระเจ้าอย่างไร




Commentaires

Noté 0 étoile sur 5.
Pas encore de note

Ajouter une note
Featured Posts
Recent Posts
Archive
Search By Tags
No tags yet.
Follow Us
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
bottom of page